Skip to main content

ชญาภา สินธุไพร รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีสถาบันวิจัย The Economist Intelligence Unit (EIU) รายงานดัชนีประชาธิปไตย (Democracy Index) ปี 2021 (พ.ศ.2564) ของประเทศไทยซึ่งถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มประเทศ “ประชาธิปไตยไม่สมบูรณ์” เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2562 เป็นต้นมา สะท้อนว่า แม้ที่ผ่านมาจะมีการเลือกตั้งในปี พ.ศ.2562 ก็ตาม แต่ประเทศไทยยังมีอัตราการถดถอยของประชาธิปไตยที่แย่ลงอย่างต่อเนื่อง กระบวนการเลือกตั้งในปี 2562 ถูกอ้างเพื่อใช้เป็นความชอบธรรมอำพรางตัวเข้าสู่อำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตหัวหน้าคณะรัฐประหาร สู่นายกรัฐมนตรีที่คนไทยไม่ต้องการ เป็นผู้นำเผด็จการที่ซ่อนรูปในคราบประชาธิปไตย แต่สุดท้ายไม่อาจอำพรางความเป็นจริงจากสายตาประชาคมโลกไปได้

ชญาภา กล่าวต่ออีกว่า ดัชนีประชาธิปไตยดังกล่าวพิจารณาจาก 5 ตัวชี้วัด ได้แก่ 1.กระบวนการการเลือกตั้งและมีหลายตัวเลือก 2.การทำงานของรัฐบาล 
3.การมีส่วนร่วมทางการเมือง 4.วัฒนธรรมการเมืองแบบประชาธิปไตย 5.เสรีภาพของประชาชน ซึ่งสภาพการณ์ของประเทศไทยที่ผ่านมาภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ มีการทำลายหลักการของระบอบประชาธิปไตยหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นระบบการเลือกตั้งที่ออกแบบให้สถาบันการเมืองหรือพรรคการเมืองอ่อนแอ ไม่เป็นเอกภาพ สะท้อนจากการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในช่วงที่ผ่านมาที่รัฐบาลไม่สามารถควบคุมองค์ประชุมในฟากฝั่งของรัฐบาลได้เลย รวมไปถึงกระบวนการเลือกตั้งในปี 2562 ที่มีการจำกัดไม่ให้มีองค์กรต่างประเทศเข้าร่วมสังเกตการณ์  ที่สำคัญมีการปิดกั้นและจำกัดการแสดงความคิดเห็นของประชาชนคนเห็นต่างจากรัฐบาลและไม่ได้รับการคุ้มครอง จนมีนักโทษทางความคิดถูกจับกุมคุมขังเป็นจำนวนมาก  เห็นได้ชัดว่าภายใต้รัฐบาลพลเอกประยุทธ์  ที่อ้างว่าผ่านกระบวนการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย แต่เหตุใดการมีส่วนร่วมและเสรีภาพของประชาชนกลับถูกจำกัดควบคุมอย่างเข้มงวด 

"พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงไม่ใช่ผู้นำความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ทั้งในเรื่องประชาธิปไตยของประเทศและสิทธิเสรีภาพของประชาชน แต่เป็นผู้นำที่ทำให้ประเทศชาติถดถอยทุกด้าน และไม่มีวันที่ประชาธิปไตยจะเบ่งบานได้ภายใต้การนำของอดีตหัวหน้าคณะรัฐประหาร ไม่มีวันที่ประเทศไทยจะสง่างามและเป็นที่ยอมรับของประชาคมโลก" ชญาภา กล่าว