Skip to main content

สภาเพิ่งมีมติส่งร่าง พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต หรือ ร่าง พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อน 60 วัน ก่อนนำมาพิจารณาใหม่ ด้วยคะแนนเสียง 207 : 196 เสียง ซึ่งอาจทำให้ร่าง พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า จะได้กลับเข้ามาพิจารณาในสภาอีกครั้งในสมัยประชุมหน้า

เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ส.ส.กทม. เขต 22 พรรคก้าวไกล ในฐานะผู้เสนอร่างพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ.... กล่าวว่า ผลการลงมติออกมาอย่างฉิวเฉียด ตนขอขอบคุณทุกเสียงในสภาที่สนับสนุนร่างกฎหมายนี้ทั้งพรรคฝ่ายค้านและรัฐบาล และหวังว่า รัฐบาลจะเชิญตนไปร่วมชี้แจงเกี่ยวกับร่างกฎหมายนี้ด้วย และขอให้ทุกคนติดตามเชียร์กันต่อไป เพราะหากร่างกฎหมายฉบับนี้ผ่าน จะเป็นก้าวแรกของการปลดล็อกเบียร์และสุราพื้นบ้านให้ประชาชนได้มีโอกาสผลิตสุรา จากวัตถุดิบในพื้นที่ เป็นการยกระดับและสร้างรายได้ให้ประชาชน

ตั้งแต่เช้าของวันนี้ ตัวแทนกลุ่ม ทะลุฟ้า - thalufah และ ประชาชนเบียร์ ซึ่งประกอบไปด้วยประชาชนทั่วไป กลุ่มผู้ค้าสุรา และเจ้าของสถานประกอบการ เดินทางไปที่รัฐสภา เพื่อยื่นหนังสือเรียกร้องให้สภารับหลักการร่าง พ.ร.บ. สุราก้าวหน้า และให้รัฐบาลถอดถอนญัตติขอการอุ้มร่างกฎหมายออกไป เพื่อเป็นก้าวแรกในการปลดล็อกกฎหมาย ทลายทุนผูกขาด และเปิดโอกาสให้ประชาชนหรือผู้ประกอบการรายย่อยเข้าถึงการผลิตได้

ธนากร ท้วมเสงี่ยม ตัวแทนกลุ่มทะลุฟ้าและประชาชนเบียร์ กล่าวว่า คนตัวเล็กๆ ในวงการสุราเจอปัญหามากมายเกี่ยวกับกฎหมายรัฐไทยที่ไม่เคยมองเราเป็นประชาชน กฎหมายแบบนี้มองประชาชนชาวสุราไม่ต่างจากศัตรูของรัฐ ถูกบีบบังคับให้ทำได้ยาก การจะมีพื้นที่อยู่ในสื่อก็ทำได้ยาก การจะพูดถึงแบรนด์ การจะทำปริมาณที่มันใหญ่ขึ้น มีคุณภาพขึ้นทำได้ยาก ยากเกินกว่าที่เราจะเข้าไปอยู่ในตลาดได้จริงๆ

“เราคิดว่าร่าง พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า นี้เปิดโอกาสให้ประชาชนคนธรรมดา มีโอกาสมากขึ้นในการผลิตสุราที่เยอะขึ้นมากกว่าที่กฎหมายกำหนด เพราะกฎหมายกำหนดสูงเกินกว่าที่เราไปแตะได้ ทำให้เราได้เข้าถึงการผลิตสุราได้อย่างเท่าเทียมนายทุน ทั้งผลิตเพื่อดื่มเองหรือผลิตเพื่อจำหน่าย เราไม่สามารถผลิตได้เป็นหมื่นลิตรต่อวัน เป็นล้านลิตรต่อปี มันไม่มีทางที่คนธรรมดาจะทำอย่างนั้นได้ มันเปิดโอกาสให้แก่คนเพียงไม่กี่คน ที่พวกเขายึดอำนาจการดื่มกินของพวกเราไปหมดแล้ว

ขณะที่ ณิกษ์ อนุมานราชธน กล่าวในฐานะผู้ประกอบการค็อกเทลบาร์และสุราชุมชน ว่า ในส่วนค็อกเทลบาร์มีปัญหาที่เราไม่สามารถเอาค็อกเทลที่ผสมไว้ใส่ขวดและขายให้นำกลับบ้านได้ เพราะมีเรื่องของบรรจุภัณฑ์ที่กฎหมายห้ามไว้อยู่ ส่วนทางสุราชุมชนก็คือ เรื่องของ กำลังผลิตที่จำกัดไว้ 5 แรงม้า 7 แรงคน ที่เราไม่สามารถขยายฐานหรือเพิ่มความสามารถในการผลิตให้สุรามีคุณภาพยิ่งขึ้นเพื่อไปเเข่งขันในตลาดได้

“เราอยากให้มองถึงมูลค่าทางเศรษฐกิจที่หายไปจากสิ่งที่รัฐผูกขาด เวลาเราไปต่างประเทศ เราจะใช้สถานที่โรงกลั่นสุราเป็นสถานที่ท่องเที่ยว แต่ในไทยไม่มี เพราะเราถูกปิดกั้นไว้ ในต่างประเทศมีการนำเอาผลไม้ต่างๆ มาแปรรูปเป็นสุรา ประเทศเราไม่สามารถทำได้ เพราะมีกฎหมายบังคับให้ประชาชนลืมตาอ้าปากไม่ได้ ร่างกฎหมายนี้เป็นการปลดล็อกให้สามารถผลิตสุราพื้นบ้านเเละยกระดับสร้างมูลค่าให้แก่ท้องถิ่น และเราอยากให้รัฐมองว่าร่างกฎหมายฉบับนี้เป็นสิทธิในการประกอบอาชีพเรา”

ขณะที่ ผศ.ดร.เจริญ เจริญชัย ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีผลิตอาหาร ด้านเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กล่าวว่า ตนรู้จักผู้ประกอบการสุราชุมชนทั่วประเทศ เนื่องจากเป็นผู้ให้ความรู้ในการพัฒนาสุราชุมชน ซึ่งสุราชุมชนถูกจำกัดอยู่ที่ 5 แรงม้า และคนงานไม่น้อยกว่า 7 คน การที่จะผลิตสุราชุมชนที่มีคุณภาพจะต้องอาศัยกำลังผลิตเครื่องมือ เครื่องจักรที่เพียงพอ มีการใช้วัสดุอุปกรณ์ มีการพัฒนาที่สากลยอมรับ เช่น รัม วอดก้า แต่ปัจจุบันสุราชุมชนที่อนุญาตไม่ได้เป็นโรงงานทำได้เพียงสุราขาว ดังนั้น ฝ่ายที่ไม่ต้องการให้ชุมชนผลิตจะระบุเสมอว่า ทำแล้วคุณภาพไม่ดี การที่เราไม่สามารถผลิตเท่าเทียมต่างประเทศได้เพราะข้อจำกัดตรงนี้ หากใครจะทำสุราที่มีคุณภาพ จะต้องมีกำลังผลิตอย่างน้อย 9 หมื่นลิตรต่อวัน ซึ่งต้องใช้ทุนมหาศาล ซึ่งชาวบ้านมีวัตถุดิบทางธรรมชาติที่สามารถทำสุราที่มีคุณภาพได้ อาทิ อ้อย ลำไย ลิ้นจี่ ซึ่งในต่างประเทศไม่มี เมื่อนำสุราประเภทนี้บ่มกับไม้โอ๊คจะได้สุราที่ดีกว่าวิสกี้ ในต่างประเทศ

"ร่างกฎหมายฉบับนี้ไม่ใช่ประโยชน์ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่เป็นประโยชน์ของประชาชน รายเล็กรายน้อย ผลประโยชน์ของเกษตรกรในการนำวัตถุดิบมาสร้างมูลค่า สร้างรายได้ ยกระดับให้ชุมชน และกรณีเรื่องของการต่อต้าน การโฆษณาเมาแล้วขับ เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่เรากำลังจะนำเสนอข้อจำกัดในการแก้ปัญหาผู้ประกอบการที่ถูกควบคุมการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ การพูดถึงสุรา เพราะในขณะประเทศเราเริ่มมองไปในทิศทางการเห็นสุราเป็นศัตรู พยายามสร้างสุราให้เป็นปีศาจ แต่ในนานาอารยประเทศสุราเป็นสิ่งที่สร้างรายได้ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้ประเทศชาติ"