Skip to main content

ตัวแทนพรรคเพื่อไทย นำโดย นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม. พร้อมว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) พรรคเพื่อไทย ร่วมกันยื่นหนังสือขอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตรวจสอบข้อเท็จจริงคำสั่งแต่งตั้งกรรมการติดตามการปฏิบัติตามนโยบายผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) ใช้อำนาจแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่ง ‘กรรมการติดตามนโยบายผู้ว่าฯ กทม.’ ที่อาจเป็นการกระทำที่ขัดกันแห่งผลประโยชน์และส่อว่าเป็นการทุจริตต่อหน้าที่เพื่อแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย สำหรับตนเองหรือผู้อื่น ซึ่งผลให้เป็นการเสื่อมเสียแก่เกียรติศักดิ์ศรีของตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. 

ตามที่ได้ปรากฏข้อมูลจากนายกรัฐมนตรีว่าจะมีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และสมาชิกสภากรุงเทพมหานครประมาณกลางปี 2565 ขณะนี้ผู้ที่จะลงสมัครแต่ละคนต่างก็เตรียมการในการลงพื้นที่พบประชาชน เพื่อประชาสัมพันธ์ตนเองและหาเสียง ข้อเท็จจริงกลับปรากฏว่า ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้กระทำการอันอาจเข้าข่ายเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ด้วยการแต่งตั้งหรือยินยอมมีการแต่งตั้งว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภากรุงเทพมหานครในแต่ละเขต ซึ่งยังไม่ทราบชัดเจนว่าเป็นบุคคลในทีมของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเองหรือในทีมผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนอื่น เป็นกรรมการติดตามนโยบายผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เพื่อจะได้อาศัยตำแหน่งหน้าที่ดังกล่าวในการสั่งการผู้บริหารเขตหรือเจ้าหน้าที่ของกรุงเทพมหานครตามเขตต่างๆ ร่วมกับตนเองลงพื้นที่เพื่อการหาเสียงให้กับตนเองโดยอ้างเรื่องการติดตามนโยบายของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครบังหน้า มีการใช้ทรัพยากรบุคคลและทรัพย์สินของราชการกรุงเทพมหานครเพื่อประโยชน์ในการหาเสียงด้วย 

และในการนำเสนอข่าวก็จะมีการระบุให้ประชาชนทราบว่าตนเองเป็นว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร เพื่อให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้ทราบ ซึ่งการกระทำของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในลักษณะดังกล่าวเป็นการนำทรัพยากรของรัฐไปใช้ เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตนเองหรือผู้อื่นและเป็นการเอาเปรียบผู้สมัครอื่น แม้ขณะนี้จะยังไม่มีประกาศให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และสมาชิกสภากรุงเทพมหานครก็ตาม แต่การกระทำก็ส่งผลต่อคะแนนนิยมของบุคคลที่อ้างว่าเป็นว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภากรุงเทพมหานครแล้ว

พรรคเพื่อไทยเห็นว่า การกระทำของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่แต่งตั้งบุคคลที่รู้ว่าเป็นว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภากรุงเทพมหานครให้เป็นคณะกรรมการติดตามนโยบายผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเช่นนี้ เป็นการกระทำที่ขัดกันแห่งผลประโยชน์และส่อว่าเป็นการทุจริตต่อหน้าที่เพื่อแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น เข้าลักษณะเป็นการกระทำอันเป็นการเสื่อมเสียแก่เกียรติศักดิ์ศรีของตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หรือเป็นการปฏิบัติการในลักษณะที่เห็นได้ว่าจะเป็นเหตุให้เสียหายอย่างร้ายแรงแก่กรุงเทพมหานครหรือแก่ราชการโดยส่วนรวมซึ่งเป็นการต้องห้ามตามมาตรา 52 (8) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2528 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และอาจเข้าข่ายเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 อีกด้วย

พรรคเพื่อไทยจึงเรียนมาเพื่อขอให้ท่านได้โปรดตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวว่า คำสั่งแต่งตั้งว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร เป็นกรรมการติดตามการปฏิบัติตามนโยบายผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครนั้น ใครเป็นคนแต่งตั้ง ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งมีบุคคลใดบ้าง แต่ละคนเป็นว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภากรุงเทพมหานครเขตใดบ้างและมีวัตถุประสงค์ทางการเมืองแอบแฝงตามที่ได้ร้องเรียนข้างต้นหรือไม่ 

ทั้งนี้ หากปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าวก็ขอให้ใช้อำนาจสั่งการให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครยุติการกระทำดังกล่าวด้วย และหากเห็นว่าการกระทำของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเป็นการต้องห้าม ตามมาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2528 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ก็ขอให้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ด้วยการเสนอให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครพ้นจากตำแหน่งต่อไป และหากผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่าเป็นการกระทำที่เข้าข่ายเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการก็ขอให้ส่งเรื่องไปยังคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงต่อไปด้วย

พรรคเพื่อไทยขอเรียนว่า การเลือกตั้งทุกระดับกฎหมายมีเจตนาให้ผู้สมัครทุกคนได้แข่งขันกันโดยเสรีและต้องเป็นไปด้วยความสุจริตและเที่ยงธรรม เจ้าหน้าที่ของรัฐต้องวางตัวเป็นกลาง ไม่เอื้อประโยชน์ให้ผู้สมัครคนใดคนหนึ่ง แต่การกระทำตามข้อเท็จจริงที่เรียนไว้ข้างต้น เป็นที่เห็นได้ว่า เป็นการใช้บุคลากรและทรัพยากรของรัฐเพื่อการหาเสียงไว้ล่วงหน้าโดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ที่ได้รับแต่งตั้งหรือมอบหมาย จึงขอให้พิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป