การประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2564 ที่ศูนย์ประชุมและจัดแสดงสินค้านานาชาติ จังหวัดขอนแก่น ของพรรคเพื่อไทย ช่วงบ่ายมีวาระสำคัญคือเรื่องปรับเปลี่ยนคณะกรรมการบริหารพรรค หลังจากที่สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ลาออกจากตำแหน่ง หวังเปิดทางคนรุ่นใหม่เข้ามาขับเคลื่อนพรรคต่อโดยผลการลงคะแนน สมาชิกให้ความไว้วางใจ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ไร้คู่แข่ง ด้วยคะแนน 337 คะแนน ขณะที่รองหัวหน้าพรรค ประกอบด้วย, ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร , สุทิน คลังแสง ,จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ , และสรวงศ์ เทียนทอง โดยมีการปรับเปลี่ยน กิตติรัตน์ ณ ระนอง และพิชัย นริพทะพันธ์ ออกจากตำแหน่ง ด้านประเสริฐ จันทรรวงทอง ยังนั่งตำแหน่งเลขาธิการพรรคตามเดิม ด้านธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ นั่งตำแหน่งโฆษกพรรคแทนอรุณี กาสยานนท์ ที่ปรับเปลี่ยนไปเป็นตำแหน่งรองเลขาธิการพรรคแทน นอกจากนี้ยังมีการปรับตำแหน่งเหรัญญิกพรรค เป็น ทวีศักดิ์ อนรรฆพันธ์
รายชื่อคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ จำนวน 23 คน
1. นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค
2. ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร รองหัวหน้าพรรค
3. สุทิน คลังแสง รองหัวหน้าพรรค
4. จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รองหัวหน้าพรรค
5. สรวงศ์ เทียนทอง รองหัวหน้าพรรค
6. ประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรค
7. วรสิทธิ์ กัลป์ตินันท์ รองเลขาธิการพรรค
8. จิรวัฒน์ ศิริพานิชย์ รองเลขาธิการพรรค
9. มนพร เจริญศรี รองเลขาธิการพรรค
10. คุณากร ปรีชาชนะชัย รองเลขาธิการพรรค
11. จักรพล ตั้งสุทธิธรรม รองเลขาธิการพรรค
12. นพ ชีวานันท์ รองเลขาธิการพรรค
13. เผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรค
14. อรุณี กาสยานนท์ รองเลขาธิการพรรค
15. ทวีศักดิ์ อนรรฆพันธ์ เหรัญญิกพรรค
16. จักรพงษ์ แสงมณี นายทะเบียนสมาชิกพรรค
17. ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ โฆษกพรรค
18. ณหทัย ทิวไผ่งาม กรรมการบริหารพรรค
19. จิราพร สินธุไพร กรรมการบริหารพรรค
20. เลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล กรรมการบริหารพรรค
21. พชร นริพทะพันธุ์ กรรมการบริหารพรรค
22. กิตติ์ธัญญา วาจาดี กรรมการบริหารพรรค
23. ธีราภา ไพโรหกุล กรรมการบริหารพรรค
พรรคเพื่อไทย จัดการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2564 ที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ จังหวัดขอนแก่น ในหัวข้อ “พรุ่งนี้เพื่อไทย : เพื่อชีวิตใหม่ของประชาชน” ซึ่งจะเป็นการปลุกความหวัง คืนความฝันให้พี่น้องประชาชนอีกครั้ง โดย สกุณา สาระนันท์ ส.ส. สกลนคร พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า วันพรุ่งนี้เพื่อสินค้าโอทอป ไทยจะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยผู้นำที่มีหัวใจที่เข้าถึงภูมิปัญญา และมีสายตาที่เข้าถึงความเป็นวิทยาศาสตร์ แปลงวัฒนธรรมให้เป็นสินค้าที่แสดงถึงอัตลักษณ์จากทรัพยากรและวัฒนธรรมของท้องถิ่น สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้คนในชุมชน สร้างเศรษฐกิจฐานรากเข้มแข็งได้ แม้ที่ผ่านมาสินค้าโอทอปที่กำลังได้รับการพัฒนาให้เติบโตมาอย่างต่อเนื่องต้องสะดุดลงจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง แต่ไม่มีคำว่าสายเกินไปที่จะเริ่มใหม่ เพราะจังหวัดสกลนคร มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรม
ผ้าย้อมครามที่เป็นมรดกทางภูมิปัญญาอยู่นับร้อยสูตร ต้องทำงานกับสิ่งที่มองไม่เห็น จนเกิดเป็นความเชื่อที่เรียกว่า “คะลำ” เป็นข้อห้ามของชาวบ้าน เมื่อถูกจัดการองค์ความรู้ด้วยวิทยาศาสตร์การเกษตรถึงแก่นคุณค่าคราม ซึ่งเป็นมากกว่าการเป็นสีย้อมตามธรรมชาติ แต่สามารถเป็น “สารกึ่งตัวนำอินทรีย์” (Organic-semiconductor) ที่มีศักยภาพในทางการแพทย์ นอกจากจะใช้ย้อมผ้าให้เป็นสีครามได้แล้วยังสามารถพัฒนาเป็นอาหาร เวชสำอางค์ได้ ซึ่งในจังหวัดสกลนครได้ทำมาแล้ว เมื่อมีผู้ผลิตผ้าย้อมครามมากพอ จึงตามมาด้วยการตลาดและการท่องเที่ยว จนเกิดเป็น “ถนนผ้าคราม” สามารถสร้างรายได้ให้คนสกลนครเป็นกอบเป็นกำ และที่สำคัญรายได้นั้นคือรายได้ที่กระจายสู่คนฐานรากอย่างแท้จริง
สกุณา สาระนันท์ ส.ส. สกลนคร พรรคเพื่อไทย
"รัฐบาลไทยรักไทยได้สร้างโอกาสให้คนฐานรากได้นำเอาสินค้าทางวัฒนธรรมมาแปรเปลี่ยนคุณภาพชีวิต ผ่านโครงการโอทอป แม้เผด็จการได้พราก 2 ทศวรรษที่เราควรได้เติบโต แต่ไม่สามารถพรากทรัพย์สินทางวัฒนธรรมล้ำค่าที่อยู่ในรากเหง้าของภูมิปัญญาดั้งเดิมของเราได้ เราไม่จำเป็นต้องเป็นคนยากจน เพราะบ้านเรามีของดีอยู่มากมายรอการพัฒนา โอกาสของโอทอปไทยยังคงอยู่เสมอ และรอเวลาที่จะเติบโตใหม่อีกครั้งอย่างทรงเกียรติในเวทีโลก สู่วันพรุ่งนี้ของโอทอปไทย" สกุณา กล่าว
'วิสุทธิ์' ชี้เป็นทางรอดเกษตรกรไทยแข่งขันได้ในเวทีโลก
วิสุทธิ์ ไชยณรุณ ส.ส. พะเยา พรรคเพื่อไทย กล่าวในหัวข้อ “พรุ่งนี้เพื่อไทย : เพื่อชีวิตใหม่ของประชาชน” ว่า ปีที่แล้วประเทศไทยผลิตข้าวได้ 24.6 ล้านตัน มากกว่าความต้องการในประเทศซึ่งอยู่ที่ไม่เกิน 10 ล้านตันเท่านั้น ข้าวจำนวนมากจึงถูกผลักเป็นสินค้าส่งออก ซึ่งต้องแข่งขันกับคู่แข่งอย่างจีนและเวียดนาม ที่ใช้เทคโนโลยีการเกษตรแม่นยำ เป็นที่ชื่นชอบของต่างประเทศ ผลผลิตมากกว่า ต้นทุนต่ำกว่า คุณภาพใกล้เคียงกับข้าวหอมมะลิไทย ดังนั้นข้าวไทยจะส่งออกได้ จึงต้องกดราคาจนแทบไม่เหลือต้นทุน เกษตรกรไทยจึงลงแรงมาก แต่ได้ผลผลิตน้อย สิ่งที่ไทยต้องทำทันทีคือการ “ปฏิวัติการเกษตรด้วยเทคโนโลยีทั้งระบบ” หากนำข้อมูล เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา บนพื้นฐานศักยภาพเดิม จะสามารถตอบโจทย์ตลาดและสร้างโอกาสให้เกษตรกรไทยได้อีกมาก เช่น โอกาสส่งออกโคเนื้อในตลาดเวียดนาม หรือโอกาสสินค้าอินทรีย์ ที่มีราคาสูงกว่าสินค้าเคมี 20-30% และต้องพักหน้าดิน แต่เกษตรกรไม่มีเงินทุนที่จะพัฒนาการเพาะปลูกได้ ซึ่งในอดีตพรรคเพื่อไทยได้ทำกองทุนหมู่บ้าน หมู่บ้านละล้านมาแล้ว
ดังนั้น “กองทุนเทคโนโลยีเพื่อการเกษตร” โดยนำไปสนับสนุนผ่านสหกรณ์การเกษตรในชุมชนได้ จะเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยแก้ปัญหานี้ หากมีเงินทุนเพียงพอ เกษตรกรจะสามารถเข้าถึงอุปกรณ์เทคโนโลยีจะทำให้การเกษตรมีประสิทธิภาพ ผลผลิตต่อไร่มากขึ้น ทั้งเซ็นเซอร์วัดค่าดิน อากาศ ความชื้น น้ำ ที่เหมาะสม อุปกรณ์ที่ช่วยในการเก็บเกี่ยว โดรนพ่นยา พ่นปุ๋ย เครื่องจักรกลการเกษตรต้องมีราคาถูก ต้องลดภาษีลงหรืองดเว้นการเก็บภาษี จะช่วยลดต้นทุนให้กับเกษตรกร และเพิ่มความแม่นยำในการเพาะปลูกมากขึ้น
วิสุทธิ์ ไชยณรุณ ส.ส. พะเยา พรรคเพื่อไทย
วิสุทธิ์ กล่าวอีกว่า การขนส่งและช่องทางการขายมีความสำคัญเช่นกัน ต้องเชื่อมเกษตรกรกับผู้บริโภค และสร้างโอกาสสนับสนุนชุมชนผลิตบรรจุภัณฑ์คุณภาพ การขนส่งที่มีประสิทธิภาพจะช่วยลดการเสียมูลค่าลงได้อีกด้วย มีช่องทางขายออนไลน์เชื่อมโยงเกษตรกรได้โดยตรง ต้องทันสมัยรวดเร็วทันใจ สินค้าเกษตรถึงส่งมือลูกค้าทันที
“ถ้าเรามีรถไฟฟ้าความเร็วสูงตั้งแต่ตอนนั้น การขนส่งสินค้าเกษตรถึงมือผู้บริโภคและโรงงานแปรรูปจะเป็นเรื่องง่าย และถ้าเรามีกองทุนเทคโนโลยีเพื่อการเกษตรวันพรุ่งนี้ ก็จะไม่มีปัญหาที่เราพูดกันในวันนี้เลย พ่อแม่พี่น้องครับ จากข้อมูลสู่ดิน จากดินสู่จานข้าว พรุ่งนี้เพื่อไทย เพื่อชีวิตใหม่ของพี่น้องเกษตรกรไทย” วิสุทธิ์ กล่าว
“ธนาคารหน่วยกิตเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต” สร้างมาตรฐานใหม่การศึกษาไทย
ณหทัย ทิวไผ่งาม อดีตรองโฆษกรัฐบาลพรรคไทยรักไทย นักวิชาการและนักการศึกษา กล่าวในหัวข้อ “พรุ่งนี้เพื่อไทย : เพื่อชีวิตใหม่ของประชาชน” ว่า หากพรุ่งนี้เพื่อไทยเป็นรัฐบาล จะแก้ปัญหาการศึกษาของเด็กไทยและคนไทย ด้วยการสร้างมาตรฐานสิทธิขั้นพื้นฐานในการเข้าถึงการเรียนรู้ไม่รู้จบ เปลี่ยนบริบทใหม่ของโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษา ตามให้ทันโลกแห่งความรู้ ด้วยแนวคิด “ธนาคารหน่วยกิตเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต” (Academic Credit Bank : ACB) โดยจะเป็นธนาคารเพื่อฝากความรู้ของคนไทยด้วยระบบคราวด์ (Cloud) เก็บเนื้อหาการเรียนและความรู้ในด้านต่างๆ เรียนรู้ได้ตลอดเวลา ตั้งแต่วันที่เด็กเข้าโรงเรียนวันแรกไปจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต (Learn from cradle to grave) และยังช่วยเก็บหน่วยการเรียนรู้ในสาขาต่างๆ บันทึกการเรียนและความรู้ของคนไทย ซึ่งสามารถเรียนในทุกๆ สถานที่ ผ่านแพลตฟอร์มฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย (Free Knowlege Platform) มีความยืดหยุ่นตามความพร้อมของสมองของคนแต่ละคน ตอบโจทย์แต่ละครอบครัวที่มีความพร้อมทางเศรษฐกิจและการบริหารเวลาที่แตกต่างกัน โดยธนาคารแห่งนี้จะมีดอกเบี้ยที่เป็นมาตรการจูงใจทางภาษี ยิ่งเรียนมาก ยิ่งฝากความรู้ไว้มากเท่าไหร่ ยิ่งได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้มากขึ้นเท่านั้น โดยข้อมูลความรู้นี้จะนำไปผูกกับโปรโมชันในการสร้างอาชีพได้ตรงตามความต้องการกำลังคนเฉพาะทางของประเทศได้อีกด้วย
ณหทัย ทิวไผ่งาม อดีตรองโฆษกรัฐบาลพรรคไทยรักไทย
นอกจากนี้พรรคเพื่อไทยยังมองเห็นถึงศักยภาพพลังสมองของผู้สูงอายุ ซึ่งต้องสร้างแรงจูงใจให้ผู้สูงอายุมาแบ่งปันความรู้ในชีวิตเพื่อส่งต่อให้คนรุ่นหลังผ่านแพลทฟอร์มกลาง โดยจะมี “เบี้ยส่งผ่านความรู้” เสริมเพิ่มเติมเข้ากับเบี้ยผู้สูงอายุเพื่อสร้างคุณค่าให้กับผู้ที่มีประสบการณ์และความรู้ที่ต้องการส่งต่อไปยังคนรุ่นหลังด้วย
“นอกจากโรงเรียนและสถาบันการศึกษา ควรจะเป็นที่ๆ ผู้ใหญ่ให้อิสระภาพกับเด็กได้ปลดปล่อยพลังสมองและพลังความคิดของตัวเองได้อย่างปลอดภัย พรุ่งนี้ของประเทศไทย เด็กไทย และคนไทยทุกคน จะสามารถกลับเข้าสู่การศึกษา จะเรียนรู้ใหม่ ได้ทุกช่วงเวลาตลอดชีวิต” ณหทัยกล่าว
'ภูมิธรรม เวชยชัย' เดินหน้าสร้างสรรค์นโยบาย ‘ประชาชนนิยม’
ภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวในหัวข้อ “พรุ่งนี้เพื่อไทย : เพื่อชีวิตใหม่ของประชาชน” ซึ่งจะเป็นการปลุกความหวัง คืนความฝันให้พี่น้องประชาชนอีกครั้งว่า ประชาธิปไตยไทยมีอุปสรรคและแรงต้านขวางพัฒนาการเป็นระยะๆ หลายครั้งการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยต้องแลกด้วยชีวิตและความสูญเสีย ซึ่งเยาวชน คนหนุ่มสาว ประชาชนคนไทยผ่านประสบการณ์ความสูญเสีย รวมทั้งตนและเพื่อนๆ อีกหลายคนในพรรคเพื่อไทยผ่านประสบการณ์นี้มาไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของชีวิต ดังนั้นประชาธิปไตยจึงมีความหมาย มีคุณค่าและมีจิตวิญญาณของผู้คนที่รักและหวงแหนในเสรีภาพและความเป็นธรรม แม้จะถูกทำลายโอกาสสักกี่ครั้ง จิตวิญญาณเหล่านี้ก็ไม่สูญสลาย ดังนั้นประชาธิปไตยสำหรับตนจึงมีความหมายมากกว่าการได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองและสร้างความมั่นคงให้แก่พวกพ้อง แต่คือวิถีของอำนาจที่เป็นธรรม ที่เกี่ยวข้องกับการจัดสรรทรัพยากร โอกาส ความหวังเพื่อคืนคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
ภูมิธรรม กล่าวว่า เราเคยมีบทบาทและมีส่วนร่วมผลักดันรัฐธรรมนูญ’40 ที่มีหลักการประชาธิปไตยมากที่สุดและนำไปสู่การสร้างสรรค์นโยบายให้ประเทศ พรรคได้แสดงเจตนารมณ์ที่ชัดเจนในการ ‘ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน’ สร้างความตระหนักรู้กับประชาชนว่า เรามี ‘ประชาธิปไตยที่กินได้’ คือทุกคนมีโอกาส มีสิทธิเสรีภาพในการดำรงชีวิต มีส่วนร่วมในการนำเสนอปัญหาและร่วมแก้กับพรรคการเมือง จนกลายเป็นนโยบายที่ ‘ประชาชนนิยม’ ที่มีความสำคัญต่อการเปิดโอกาสและพัฒนาคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชน ซึ่งยังคงอยู่ในใจประชาชนมายาวนานไม่ว่ารัฐบาลเผด็จการจะเข้ามามีอำนาจด้วยการรัฐประหารจะพยายามล้มเลิกนโยบายที่ ‘ประชาชนชื่นชม’ แต่ก็ไม่สามารถทำได้
ภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคเพื่อไทย
“ประชาธิปไตยที่กินได้ที่พรรคเพื่อไทย มุ่งมั่นตั้งใจให้เกิดความร่วมมือกับประชาชน แม้จะถูกนำไปลอกเลียนแบบก็ทำได้เพียงเปลี่ยนชื่อ กลายร่าง เปลี่ยนผ้าคลุมภายนอกใหม่ แต่ไม่สามารถปกปิดระบบเผด็จการที่ซ่อนรูปได้ เมื่อไม่ได้เริ่มจากประโยชน์ประชาชนนโยบายที่สร้างสรรค์ก็ถูกทำให้เป็นงานประจำ ไม่ได้สร้างทางเลือกใหม่ๆ ให้ประชาชน” ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าว
ภูมิธรรม ให้ความหมายประชาธิปไตยว่า คือวิถีชีวิต จิตวิญญาณและโอกาสที่ต้องเท่าเทียมเป็นธรรม ดังนั้นสำหรับพรรคเพื่อไทย คือ การสร้างนโยบายและโอกาสใหม่ๆ ให้ผู้คน ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะ ชนชั้นหรือความหลากหลายกลุ่มใด สิทธิและศักดิ์ศรีเราเท่ากัน ประชาธิปไตยคือการจัดการทรัพยากรอย่างเป็นธรรมที่มีส่วนยกระดับการดำรงชีวิตให้ดีขึ้น ซึ่งประชาธิปไตยไม่ได้ตอบโจทย์มิติทางเศรษฐกิจอย่างเดียวแต่ตอบโจทย์ชีวิตและสังคม นำไปสู่การเลื่อนชั้นคุณภาพความเป็นมนุษย์ สรรหาทางเลือกใหม่ๆ ที่ทุกคนเข้าถึงการนำโอกาสไปสร้างชีวิต สร้างความสุขแก่ครอบครัวและคนที่รัก การสร้างจิตวิญญาณประชาธิปไตยคือการลงหลักปักฐานความแข็งแรงทางจิตวิญญาณของมนุษย์ เป็นกระบวนการการเพิ่มอำนาจประชาชนให้เข้มแข็ง พึ่งตนเองและดำรงชีวิตอิสระโดยไม่ถูกระรานทำร้าย ไม่ถูกเลือกปฏิบัติบนความแตกต่างใดๆ มีส่วนร่วมเลือกและกำหนดอนาคตของตนและคนในสังคมทั้งสังคมได้ตามปรารถนา ซึ่งเป็นเจตจำนงและจุดยืนของพรรคเพื่อไทยที่มีต่อ ‘ประชาธิปไตย’ ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ภูมิธรรม กล่าวว่า วันนี้พรรคเพื่อไทยและคนหนุ่มสาวร่วมยุคสมัยจะร่วมกันสร้างประชาธิปไตยที่คืนชีวิต คืนความหวังให้ประชาชน การดำเนินนโยบายปัจจุบันต้องให้คุณค่ากับความหลากหลายของความต้องการ รับฟังความคิดเห็นจากผู้คนที่เป็น ‘เจ้าของปัญหา’ รับเอาความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้คนจำนวนมากแล้วนำมาออกแบบกระบวนการนโยบายให้สอดคล้องและปฏิบัติได้จริง เป็นข้อท้าทายและเป็นโอกาสให้ได้ปรับเปลี่ยนมุมมองต่อปัญหาทั้งเศรษฐกิจและสังคมในมิติต่างๆ ครอบคลุมมากขึ้น
'ชัยเกษม' อดีต รมว.ยุติธรรม ชี้นิติธรรมคือทางรอดสังคมไทย - ตุลาการต้องไม่ยอมรับการรัฐประหาร
ชัยเกษม นิติสิริ อดีตอัยการสูงสุดและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า นับตั้งแต่วันแรกที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำรัฐประหารในเดือนพฤษภาคม 2557 ได้ละเมิดหลักนิติธรรมตั้งแต่วันแรกที่ยึดอำนาจ คำสั่งและประกาศจำนวนมากบังคับใช้เป็นกฎหมาย โดยทำลายหลักนิติรัฐนิติธรรม ทำลายกลไกตรวจสอบถ่วงดุล ใช้กฎหมายทำลายล้างบุคคลที่คิดต่างจากรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากความล้มเหลวในการจัดการโรคระบาดผิดพลาดและจากวิกฤตเศรษฐกิจ แทนที่รัฐบาลจะรับฟังข้อเรียกร้องเพื่อแก้ไขปัญหา กลับสั่งตำรวจเข้าปะทะจับกุมดำเนินคดีประชาชนอย่างเกินสมควรกว่าเหตุ ราวกับว่าไม่ได้เห็นประชาชนเป็นพี่น้องร่วมชาติของตัวเอง ทำให้หวั่นวิตกว่า หากประชาชนสิ้นศรัทธาในกระบวนการยุติธรรมแล้วนั้นบ้านเมืองจะอยู่อย่างไร
"หากประสบการณ์ที่รับราชการจนถึงอัยการสูงสุด และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จะพอมีคุณค่า ก็ขอเรียกร้องให้ “ปล่อยตัวนักโทษทางความคิด” ที่เห็นต่างกับรัฐบาล เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นฟื้นฟูหลักนิติรัฐ นิติธรรม คืนอนาคตให้ลูกหลานและคืนชีวิตให้พี่น้องประชาชน" ชัยเกษม กล่าว
นายชัยเกษม กล่าวว่า ประชาชนจะเชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรมก็ต่อเมื่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม ได้ทำหน้าที่ให้ประชาชนเชื่อได้ว่าเป็นความยุติธรรมที่แท้จริง กฎหมายที่จะนำออกมาบังคับใช้ ต้องได้รับการยอมรับและเห็นชอบจากตัวแทนของประชาชน ไม่ใช้อำนาจตามอำเภอใจ นอกจากนี้หลักนิติรัฐนิติธรรมยังเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ ถ้ายังออกกฎหมายและบังคับใช้ตามอำเภอใจของผู้มีอำนาจ ไม่มีมาตรฐาน ย่อมส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและเปิดช่องกันให้ทุจริตอย่างรุนแรงไร้ยางอายและไม่เห็นหัวประชาชนอย่างที่ปรากฏทุกวันนี้
ชัยเกษม นิติสิริ อดีตอัยการสูงสุดและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
สิ่งสำคัญ หากประเทศไทยกลับมาปกครองด้วยหลักนิติรัฐ นิติธรรมแล้ว
1. ผู้ปกครองหรือผู้บริหารประเทศ ต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชน
2. กฎหมายจะต้องมาจากความเห็นชอบของประชาชนผ่านรัฐสภา ซึ่งเป็นผู้แทนของปวงชน
3. สถาบันตุลาการจะต้องไม่ยอมรับการรัฐประหารโดยอ้างว่าเป็นรัฏฐาธิปัตย์
ที่ผ่านมาได้เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อป้องกันการรัฐประหาร โดยเสนอให้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญให้ชัดเจนว่า การรัฐประหารมีความผิดฐานเป็นกบฏและไม่ก่อให้เกิดอำนาจรัฏฐาธิปัตย์ และไม่มีกำหนดอายุความ แม้ว่ารัฐธรรมนูญจะถูกยกเลิกไปแต่หลักการดังกล่าวยังต้องคงอยู่และสามารถใช้บังคับลงโทษผู้ก่อกบฏได้ แต่น่าเสียดายที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่พรรคเพื่อไทยเสนอไม่ผ่านการพิจารณาในรัฐสภา
"ไม่ว่าจะยุคสมัยใด คนรุ่นใด จะเป็นคนรุ่นใหม่ หรือคนรุ่นผม เราต่างแสวงหาความยุติธรรมเพื่อความสงบสุขของชีวิต ความยุติธรรมเท่านั้น จะแก้ปัญหาความขัดแย้งของบ้านเมือง ทำให้ประเทศเดินไปข้างหน้า และสร้างความหวัง สร้างชีวิตที่ดีกว่าให้กับประชาชนได้ ประเทศไทยจะต้องไม่มีนักโทษทางความคิด ไม่มีทหารมายึดอำนาจจากรัฐบาลของประชาชน และจะไม่มีประชาชนที่ถูกกลั่นแกล้งด้วยกฎหมายอีกต่อไป" ชัยเกษม กล่าวสรุป