Skip to main content

คณะทำงานต่างประเทศเพื่อไทย สวนแผนเปิดประเทศ 1 พ.ย. คนไทยอยู่ในภาวะจำยอม เหตุเลื่อนลอยไร้แผนจัดการ แนะเร่งสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้ถึง 70%

จักรพล ตั้งสุทธิธรรม ส.ส.เชียงใหม่ รองเลขาธิการพรรค, เผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรค และขัตติยา สวัสดิผล สมาชิกพรรค ในฐานะคณะทำงานด้านต่างประเทศพรรคเพื่อไทย ร่วมแถลงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศ 1 พ.ย. 2564 เปิดประเทศและการทำงาน 120 วันที่ผ่านมา ประเทศไทยประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลกในการปกป้องรักษาชีวิตของประชาชนนั้น

เผ่าภูมิ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยไม่ปฏิเสธการเปิดประเทศ และไม่ปฏิเสธการตั้งเป้าหมายสู่การเปิดประเทศ แต่ปฏิเสธการตั้งเป้าหมายแบบเลื่อนลอย ไร้การดำเนินการรองรับ ฉะนั้น สาระสำคัญคือการเตรียมพร้อมสำหรับการเปิดประเทศ คำถามจึงไม่ใช่ “เปิดหรือไม่” แต่กลับเป็น “เปิดอย่างไร” และ “เตรียมพร้อมอย่างไร” มองดูที่ความพร้อม สิ่งที่เจอคือความไม่พร้อม เช่น ภูมิคุ้มกันหมู่ที่ห่างไกลความจริง, จังหวัดที่ตั้งเป้าเปิดรับนักท่องเที่ยวยังเป็นจุดศูนย์กลางของการติดเชื้อ, ระบบสาธารณสุขยังคาบเส้นศักยภาพของระบบพอดี 

เผ่าภูมิ

เผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย

“ต่างชาติไม่มีความเชื่อมั่น สหรัฐอเมริกาจัดไทยเป็นประเทศสีแดง อยู่ระดับความเสี่ยงสูงสุด แนะนำ ‘ให้หลีกเลี่ยงการเดินทาง’ อียูปลดไทยออกจากประเทศปลอดภัย เมื่อตลาดจีน ญี่ปุ่น ยังปิด ตลาดยุโรป สหรัฐอเมริกา ให้เลี่ยงเดินทางมา มองไม่เห็นเลยว่านักท่องเที่ยวจะมาจากไหน ทั้งหมดเพราะรัฐบาลบริหารล้มเหลว ทำให้วันนี้ประเทศต้องเปิดท่ามกลางความเสี่ยงสูง เปิดก็เสี่ยงตาย ไม่เปิดก็อดตาย” เผ่าภูมิ กล่าว 

จักรพล กล่าวว่า หลายประเทศประสบความสำเร็จในการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับโควิดอย่าง เดนมาร์ก สิงคโปร์ ชิลี แต่ข้อแตกต่างของมาตรการรองรับประเทศเหล่านี้กับไทยคือ เปิดประเทศหลังจากที่มีประชาชนได้รับวัคซีนได้ถึง 70% แล้วทั้งสิ้น ไทยนำร่องเปิดภูเก็ตแซนด์บ๊อกซ์ เมื่อ 1 ก.ค. 64 ขณะที่ประชาชนได้รับวัคซีนครบโดสเพียง 56 % และหลายจังหวัดที่จะเปิด 1 พ.ย. 64 นี้ ยังไม่มีจังหวัดใดมีที่ประชาชนได้รับวัคซีนครบโดสถึง 70% เลย แสดงถึงการบริหารจัดการฉีดวัคซีนที่ไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาล 

จักรพล กล่าวต่ออีกว่า รัฐบาลไทยโดดเดี่ยวตัวเองบนเวทีโลก ไม่เข้าร่วมโคแวกซ์ ก็เพราะความ ‘ประมาทเลินเล่อ’ คิดว่าจะสามารถจัดการการระบาดโควิด-19 ได้ สุดท้ายทำประเทศไทยเสียโอกาส ประเทศไทยและชีวิตคนไทยถูกใช้เป็นหลักประกัน กลายเป็นการรับความเสี่ยงโดยไม่เผื่อใจว่าจะมีความผิดพลาด จะจัดหาวัคซีนได้ทันเวลา สุดท้ายจะกลับลำ แต่ก็ทำประเทศสูญเสียทางเศรษฐกิจมหาศาล 

จักรพล

จักรพล ตั้งสุทธิธรรม ส.ส.เชียงใหม่ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย

“จากการพูดคุยกับผู้ประกอบการท่องเที่ยว ต่างกังวลการเปิดประเทศที่จะเกิดขึ้น เพราะรัฐบาลไม่มีมาตรการคู่ขนานที่ชัดเจน อาจนำไปสู่การเกิดการระบาดระลอกใหม่ และครั้งนี้อาจเป็นลมหายใจเฮือกสุดท้ายของธุรกิจการท่องเที่ยวของไทย ส่วนด้านการให้ความช่วยเหลือภาคธุรกิจผ่านมาตรการ ‘ซอฟท์โลนทิพย์’ มีการตั้งเงื่อนไขและสร้างกำแพงไว้สูงมาก คือมีอยู่ แต่ได้มาไม่ง่าย ทำให้ผู้ประกอบการบางส่วนถอดใจและหมดหวัง” นายจักรพล กล่าว 

ขัตติยา กล่าวปิดท้ายว่า ขอตั้งคำถามรัฐบาลว่า มีความพร้อมแค่ไหนที่จะรับมือกับเชื้อโควิดหากมีการระบาดเกิดขึ้นอีกครั้ง ทั้งนี้การแจกชุด ATK คุณภาพฟรีแก่ประชาชนทุกคน ควรทำอย่างจริงจังและต่อเนื่อง “ถ้าวัคซีนไม่เข้าแขน ก็ขอ ATK แยงจมูกก็ยังดี” ส่วนจุดตรวจเชื้อแบบ RT-PCR ก็ต้องทั่วถึง ความพร้อมของโรงพยาบาล แพทย์ พยาบาล ยาฟาวิพิราเวียร์ ยาโมลนูพิลาเวียร์ จำนวนเตียง ถังออกซิเจน เครื่อง x-ray ปอด การติดต่อ hospitel ไว้ล่วงหน้าในจำนวนที่เพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดที่จะเปิดนำร่องเพียงพอแล้วหรือยัง 

ขัตติยา

ขัตติยา สวัสดิผล สมาชิกพรรคเพื่อไทย

ยกตัวอย่างประเทศสิงคโปร์ ใช้ยุทธศาสตร์ยกระดับการตรวจหาเชื้อด้วยการแจกชุดตรวจทางไปรษณีย์ถึงบ้านให้ประชาชนฟรี ​​สหราชอาณาจักรประกาศให้ประชาชนรับชุดตรวจได้ฟรีสัปดาห์ละ 2 ครั้งอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ‘โมเดลอู่ฮั่น’ เป็นกรณีศึกษาที่ดี คือมีการตรวจแบบจริงจังเชิงรุก ไม่ใช่ตรวจเชิงรับ ตรวจทั่วถึงทุกคน และใช้เทคโนโลยีมาช่วยควบคุมมาตรการล็อกดาวน์ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดด้วย