นักวิจัยแนะเตรียมเข็ม 3 หลังพบผู้ฉีด 'ไฟเซอร์-แอสตร้าเซนเนก้า' ภูมิลดหลัง 4-5 เดือน โดยผลวิจัยในอังกฤษและสหรัฐฯ บ่งชี้ ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์เดลตายังคุมได้ยาก เพราะผู้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์และแอสตร้าเซนเนก้าครบ 2 เข็มแล้ว แต่ภูมิคุ้มกันโรคโควิด-19 ค่อยๆ ลดลงหลังผ่านไปราว 4-5 เดือน ขณะที่วารสารการแพทย์เผยผลวิจัยระบุซิโนแวคอาจทำให้เกิดอาการหน้าเบี้ยวครึ่งซีก (เบลส์พัลซีย์) แต่มีเปอร์เซ็นต์ต่ำ
สำนักข่าว Reuters และ Global News รายงานผลการศึกษาประสิทธิภาพวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของนักวิจัยประจำมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ซึ่งได้รับการสนับสนุนของสำนักงานสถิติแห่งชาติ และกระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการสังคมแห่งสหราชอาณาจักร พบผู้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์และแอสตร้าเซนเนก้าครบสองเข็มค่อยๆ มีภูมิคุ้มกันลดลงภายใน 4-5 เดือน โดยเทียบกับประสิทธิภาพการป้องกันประมาณ 85% (ไฟเซอร์) และ 68% (แอสตร้าเซนเนก้า) ในช่วง 2 เดือนหลังฉีด จะค่อยๆ ลดลงเหลือ 75% และ 61% ในเวลา 90 วันตามลำดับ
วัคซีนทั้งสองตัวซึ่งเป็นชนิดสารพันธุกรรม (mRNA) และชนิดไวรัลเวกเตอร์มีประสิทธิภาพป้องกันไวรัสสายพันธุ์เดลตาสูงกว่าวัคซีนชนิดเชื้อตาย ขณะที่วัคซีนโมเดอร์นาซึ่งเป็นวัคซีน mRNA มีประสิทธิภาพในการป้องกันโควิดราว 86% และลดอาการป่วยรุนแรงขั้นเสียชีวิตได้ราว 76% แต่ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่าภูมิคุ้มกันของผู้ฉีดวัคซีนเหล่านี้จะค่อยๆ ลดลงจนต้องฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิเป็นเข็มที่ 3 เช่นกัน ทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ และอิสราเอล ประกาศนโยบายเตรียมฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 แก่ประชาชนที่ฉีดวัคซีนครบสองเข็มแล้วภายในเดือน ก.ย.ที่จะถึง
ขณะที่สหราชอาณาจักรยังไม่ระบุว่าจะฉีดวัคซีนกระตุ้นเป็นเข็มที่ 3 หรือไม่ แต่ผลวิจัยของออกซฟอร์ดย้ำว่า ผู้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์และแอสตร้าฯ ครบสองเข็มแล้วยังสามารถติดเชื้อและเป็นพาหะของไวรัสสายพันธุ์เดลตาได้ไม่ต่างจากผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน อ้างอิงการเก็บข้อมูลและประเมินผลสว็อบหาเชื้อกว่า 2.58 ล้านครั้ง จากกลุ่มตัวอย่างวัยผู้ใหญ่รวม 380,000 ราย ระหว่างวันที่ 17 พ.ค. - 1 ส.ค.ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ วารสารการแพทย์ 'แลนเซ็ต' เผยแพร่งานวิจัยผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนโคโรนาแวคที่ผลิตโดยบริษัทซิโนแวค บ่งชี้ว่า ผู้ฉีดวัคซีนซิโนแวคในวัยผู้ใหญ่จำนวนหนึ่ง มีอาการหน้าเบี้ยวครึ่งซีก (Bell's Palsey) โดยสัดส่วนผู้มีอาการนี้ที่ได้รับการยืนยันผลทางคลินิกแล้วมี 28 ราย จากกลุ่มตัวอย่างที่ได้รับวัคซีนซิโนแวคเข็มแรก รวมกว่า 452,000 รายในฮ่องกง และนักวิจัยระบุว่า อาการที่เกิดขึ้นมีเปอร์เซ็นต์ต่ำและไม่รุนแรง ส่วนใหญ่ผู้มีอาการจะค่อยๆ หายได้เอง