Skip to main content

‘วิโรจน์’ จากพรรคก้าวไกล ซัด ประยุทธ์ออกมาฉลองที่ไทยฉีดวัคซีนโควิดร้อยล้านโดส ชี้ ไม่นึกถึงกว่า 20,000 ครอบครัวที่สูญเสียคนที่รักไปจากการบริหารวัคซีนที่ผิดพลาดของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา พร้อมเตือนว่า ‘โอมิครอน’ ไม่ได้กระจอกอย่างที่รัฐบาลคิด ควรเร่งจัดหาวัคซีนและยารักษาให้เพียงพอ

วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล แสดงความเห็นกรณีที่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์ โอชา นายกรัฐมนตรีโพสต์ยินดีที่ไทยฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ทะลุร้อยล้านโดสได้ตามเป้าว่า “นายกรัฐมนตรีควรสำเหนียกถึงครอบครัวที่ญาติพี่น้องเสียชีวิตไปสองหมื่นกว่าครอบครัวบ้างนะครับ ซึ่งเป็นความสูญเสียที่มาจากการบริหารจัดการวัคซีนที่ผิดพลาดของรัฐบาลซ้ำแล้วซ้ำอีก และที่ผ่านมา รัฐบาลตั้งเป้าหมายอะไรเอาไว้ ก็พลาดเป้ามาโดยตลอด เพราะจัดหาวัคซีนเข้ามาล่าช้าและจัดหาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพไม่เพียงพอในการต่อสู้กับโควิด-19 สายพันธุ์ต่างๆ”
 
นอกจากนี้ วิโรจน์ ยังแนะนำว่า รัฐบาลควรเตรียมพร้อมรับมือกับสายพันธุ์โอมิครอนที่กำลังระบาดอยู่ทั่วโลกในปัจจุบัน ไม่ควรจะพูดแต่ว่าโควิด-19 “กระจอก” เพราะอนุทิน ชาญวีรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ก็เคยพูดอยู่เช่นนี้มาตั้งแต่ 4 กุมภาพันธ์ 2564 และมาพูดอีกครั้งเมื่อวันที่ 17 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยไม่นึกถึงผู้เสียชีวิตจำนวน 21,355 รายที่ต้องมารับกรรมจากความชะล่าใจของรัฐบาลชุดนี้
 
“ต้องอย่าลืมนะครับ ปัจจุบัน ทุกๆ ประเทศในโลกต่างกำลังเผชิญหน้ากับสายพันธุ์ใหม่ที่ชื่อว่า โอมิครอน ควบคู่ไปกับสายพันธุ์เดลต้า ซึ่งมีผลการศึกษาประเมินว่า โอมิครอนสามารถแพร่ระบาดได้เร็วกว่าเดลต้า ถึง 70 เท่า  แม้ว่าจะมีความเชื่อในเบื้องต้นว่า โอมิครอนอาจจะอันตรายถึงแก่ชีวิตน้อยกว่าเดลต้า แต่จากการศึกษาของอิมพีเรียลคอลเลจ ที่อังกฤษ ระบุชัดว่า ไม่มีหลักฐานใดที่สามารถยืนยันได้ว่า โอมิครอนอันตรายน้อยกว่าเดลต้า ดังนั้น เราจึงไม่ควรที่จะประเมิน โอมิครอนเอาไว้ต่ำเกินไป”
 
ปัจจุบัน ประชากรไทยที่ฉีดแอสตร้าเซเนก้ามีถึง 13 ล้านคน เป็นผู้สูงอายุอยู่ไม่น้อย แต่มีการวิจัยระบุว่า การฉีดแอสตร้าเซเนก้า 2 เข็ม 25 สัปดาห์มีประสิทธิภาพสู้โอมิครอนได้เพียง 5.9% เมื่อเทียบกับไฟเซอร์ 2 เข็มที่ 34% ขณะที่การศึกษาของฮ่องกงพบว่า วัคซีนซิโนแวคไม่มีประสิทธิภาพที่จะโอมิครอนได้เลย ดังนั้น ประชาชนไทยจะต้องเร่งรัดการฉีดเข็มที่ 3 เสริมภูมิกันอีกจำนวนมาก
 
ขณะนี้ หลายประเทศเร่งจัดหาวัคซีน mRNA มาฉีดเสริมภูมิให้กับประชาชนแล้ว เช่น นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ถึงกับออกโรงต่อสายเร่งรัดการส่งมอบวัคซีน กับซีอีโอของไฟเซอร์ โดยตรง เพื่อนำมาฉีดเป็นเข็มที่ 3 ให้กับประชาชน ขณะที่ประเทศเยอรมนี ก็ได้ตัดสินใจสั่งซื้อเพื่อสำรองวัคซีนเพิ่มขึ้น ท่ามกลางสถานการณ์ที่วัคซีนเริ่มขาดแคลนมากขึ้น ประเทศในกลุ่ม EU ก็ได้ตัดสินใจ เปิดคำสั่งสั่งซื้อวัคซีนรุ่นที่มีการปรับปรุงเพื่อรับมือกับ Omicron ไว้แล้วถึง 180 ล้านโดส ยืนยันได้ว่า ไม่มีประเทศที่พัฒนาแล้ว ประเทศไหน ที่มองว่า Omicron กระจอก

วิโรจน์ แนะนำให้รัฐบาลปรับแผนการรับมือโอมิครอน ไว้ว่า รัฐบาลไทยควรเร่งรัดติดตามการส่งมอบวัคซีนในเดือนธันวาคมนี้ ให้สามารถส่งมอบได้ครบ 10 ล้านโดสตามแผนการจัดหา และต้องทบทวนการสำรองวัคซีนไฟเซอร์เพื่อการฉีดเสริมภูมิให้มากกว่า 30 ล้านโดสที่วางไว้เดิม ลดการสำรองวัคซีนแอสตร้าเซเนก้าลงจากเดิมที่ตั้งสำรองไว้ถึง 52 ล้านโดส รวมถึงจัดหาวัคซีนอื่นๆ เพื่อฉีดเป็นเข็มที่ 4 เพื่อนำมาฉีดให้กับประชาชนที่มีความกังวลในวัคซีนชนิด mRNA เพื่อเพิ่มความครอบคลุมการฉีดวัคซีนให้เพิ่มมากขึ้น

รัฐบาลยังควรพิจารณาฉีดเข็มที่ 4 ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ โดยเฉพาะบุคลากรที่ปฏิบัติหน้าที่ด่านหน้า เพื่อให้มั่นใจว่าพวกเขาจะมีความมั่นใจในการให้บริการด้านสาธารณสุข หากโอมิครอนระบาด เพราะงานวิจัยของอิมพีเรียลคอลเลจชี้ว่า เมื่อเวลาผ่านไป ประสิทธิภาพของวัคซีนเข็มที่ 3 ก็ลดลงเช่นกัน ซึ่ง ปัจจุบันบุคลากรทางการแพทย์ ก็ฉีดเข็มที่ 3 ไปกว่า 4 เดือนแล้ว

นอกเหนือจากวัคซีนแล้ว รัฐบาลยังควรเร่งจัดหายารักษาให้เพียงพอ เพื่อลดอัตราการป่วยหนัก และอัตราการเสียชีวิต จากการติดเชื้อโควิด-19 เช่น ฟาวิพิราเวีย ,โมโนโคลนัล แอนตี้บอดี้, โมลนูพิราเวีย และแพ็กซ์โลวิด นอกจากนี้ ปัจจุบันมีการพัฒนายารักษาโควิด-19 ขนานใหม่ๆ ที่คาดว่ามีประสิทธิผลในการรักษาที่สูงขึ้น อยู่เป็นระยะๆ รัฐบาลจำเป็นต้องติดตาม และพิจารณาจัดหาเพื่อสำรองเอาไว้ใช้ในการรักษาชีวิตของประชาชน ให้มีความเพียงพอ

ยาอีกหลายประเภท รัฐบาลก็มีความจำเป็นต้องสำรองไว้อย่างเพียงพอเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น ยาที่ใช้รักษาภาวะปอดอักเสบของผู้ป่วยสีเหลือง และสีแดง และยาที่จำเป็นต้องใช้ในงานวิสัญญี สำหรับผู้ป่วยหนัก ซึ่งปัจจุบัน มีการรายงานจากแพทย์ผู้ปฏิบัติงานว่า มีการขาดคราวอยู่เป็นระยะๆ รัฐบาลจำเป็นต้องติดตามสต๊อก และการกระจายสต๊อกของยา เหล่านี้อย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจว่า แพทย์จะสามารถเบิกจ่ายเพื่อใช้รักษาผู้ป่วยตามการวินิจฉัยได้อย่างทันท่วงที

“ผม และคณะที่ปรึกษาด้านการแพทย์ของพรรคก้าวไกล ทราบดีว่า ยารักษาโควิด-19 ไม่ว่าจะเป็นยาต้านไวรัส หรือยารักษาภาวะปอดอักเสบ นั้นมีราคาแพงมากๆ แต่ก็ต้องยืนยันให้รัฐบาลตระหนักว่า ต่อให้ยาจะแพงอย่างไร ก็ไม่แพงไปกว่า “ชีวิตของประชาชน” และ “ความสูญเสียของครอบครัว” ที่ประเมินค่าไม่ได้

“การสำรองยาเอาไว้เป็นเพียงบันไดขั้นแรกเท่านั้น สิ่งที่รัฐบาลต้องทำต่อก็คือ การนำเอายาดังกล่าวบรรจุเข้าไปในบัญชียาหลักแห่งชาติ พร้อมทั้งมีกำหนดข้อบ่งชี้ในการใช้ยาในแนวเวชปฏิบัติของกรมการแพทย์ ให้มีหลักเกณฑ์ และขั้นตอนที่แพทย์สามารถเบิกใช้ได้ตามการวินิจฉัย ให้มีความชัดเจน มีการกระจายสต๊อกของยาอย่างเหมาะสมครอบคลุมพื้นที่การให้บริการสาธารณสุข เพื่อให้มั่นใจว่า ประชาชนทุกคนจะสามารถเข้าถึงยาที่มีประสิทธิภาพดังกล่าว อย่างเสมอภาค เท่าเทียมกัน ไม่ใช่ว่ามีเฉพาะกลุ่มคน VVIP เท่านั้น ที่จะได้รับสิทธิการมีชีวิตรอด จากยาที่มีคุณภาพเหล่านี้”