เว็บไซต์บลูมเบิร์ก รายงานอ้างอิงคำแถลง ‘เดวิด ลิตเทิลพราวด์’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรออสเตรเลีย ซึ่งระบุว่ารัฐบาลมีแผนพิจารณาอนุมัติวีซ่าทำงานเป็นเวลา 3 ปี แก่ประชากรราว 20,000 คนจากประเทศสมาชิกอาเซียน ซึ่งรวมถึงไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ เพื่อแก้ปัญหาแรงงานขาดแคลนในภาคเกษตร และเป็นประเด็นหนึ่งที่ทำให้สินค้าเกษตรในออสเตรเลียบางประเภทมีราคาแพงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา

การแถลงข่าวของ รมว.ลิตเทิลพราวด์ เกิดขึ้นไม่นานหลังจากที่ ‘สก็อต มอร์ริสัน’ นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ลงนามในข้อตกลงเขตการเสรีใหม่กับ ‘บอริส จอห์นสัน’ นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ซึ่งหนึ่งในเงื่อนไขที่ระบุในข้อตกลงดังกล่าวระบุว่า นักท่องเที่ยวแบ็กแพ็กเกอร์ชาวอังกฤษซึ่งแต่เดิมมีเงื่อนไขว่าจะต้องทำงานในภาคเกษตรของออสเตรเลียในโครงการท่องเที่ยวและทำงาน ไม่จำเป็นต้องทำงานให้ครบกำหนดเดิมที่เคยระบุไว้ ซึ่งจะยิ่งทำให้ฟาร์มต่างๆ ในออสเตรเลียสูญเสียกำลังคนที่จะมาช่วยงานไป

ด้วยเหตุนี้ ลิตเทิลพราวด์จึงได้พยายามผลักดันให้รัฐสภาพิจารณาอนุมัติวีซ่าทำงานให้แก่แรงงานจากประเทศสมาชิกอาเซียน เพราะเห็นว่าน่าจะมีผู้สนใจมาทำงานเป็นจำนวนมาก หลังจากวิกฤตโควิด-19 ทำให้แรงงานที่เคยอยู่ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวต้องตกงานและผันตัวไปทำงานภาคเกษตรในประเทศ แต่ผู้ที่ยังไม่เห็นด้วยกับมาตรการนี้เกรงว่าแรงงานจากอาเซียนอาจมีความรู้ด้านภาษาอังกฤษค่อนข้างจำกัด จึงอาจตกเป็นเหยื่อให้แก่นายจ้างในฟาร์มที่ต้องการเอารัดเอาเปรียบแรงงาน

รมว.เกษตรของออสเตรเลียโต้แย้งว่า ผู้ที่ละเมิดกฎหมายแรงงานและเอาเปรียบแรงงานต่างชาติเป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น จึงไม่ควรทำให้ภาพลักษณ์ของผู้ประกอบกิจการในภาคเกษตรของออสเตรเลียดูกลายเป็นปีศาจร้ายเกินความเป็นจริง แต่ก็ยังมีผู้ตั้งข้อสงสัยเรื่องการกักตัวป้องกันโควิด-19 ก่อนจะรับแรงงานจากอาเซียนเข้าประเทศ เพราะไม่แน่ใจว่ารัฐจะเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบเรื่องสถานที่หรือว่าเจ้าของฟาร์มต้องรับผิดชอบ

นอกจากนี้ เว็บไซต์ยูเรเชียรีวิว รายงานว่า การเตรียมอนุมัติจ้างแรงงานต่างชาติ ในขณะที่ประชากรที่เพิ่งจบใหม่ในออสเตรเลียยังตกงานถึง 5.5% ของจำนวนประชากร และยังมีพลเมืองออสเตรเลียอีกเป็นจำนวนมากที่ตกค้างในต่างประเทศ เพราะต้องรอให้สถานการณ์โควิดคลี่คลาย อาจทำให้นโยบายนี้ตกเป็นเป้าโจมตีทางการเมือง และจะทำให้ชาวออสเตรเลียมองว่ากลุ่มชาวต่างชาติจากอาเซียนจะเข้ามาแย่งงานทำ