Skip to main content

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ว่า วานนี้ (7 มิ.ย.) ได้เปิดวาระแห่งชาติในการคิกออฟฉีดวัคซีนพร้อมกันทั่วประเทศ... โดยมียอดรวมวันแรกมากว่า 4 แสนโดสทั่วประเทศ และยอดสะสมกว่า 4 ล้านโดสทั่วประเทศ ในฐานะ ผอ.ศบค.ได้มอบหมายหลักการกระจายวัคซีนให้มีความเท่าเทียมให้มากที่สุด โดยย้ำว่าทุกจังหวัดต้องได้รับวัคซีนเพื่อให้เริ่มต้นได้พร้อมกัน ไม่มีจังหวัดใดถูกทอดทิ้ง จำนวนวัคซีนที่ได้รับจัดสรรตามจำนวนประชากร อายุ จำนวนผู้ติดเชื้อ จำนวนอาชีพกลุ่มเสี่ยง และการเป็นพื้นที่เฉพาะ เช่นพื้นที่ท่องเที่ยวหรือพื้นที่เศรษฐกิจ โดยแต่ละจังหวัดที่ได้รับวัคซีนไป จะเป็นผู้จัดสรรวัคซีนให้กับโรงพยาบาลต่างๆ ในจังหวัดเอง ตามสถานที่ต่างๆ ที่เปิดให้ฉีดวัคซีนในปัจจุบัน และคนที่จองคิวไว้แล้วจะต้องได้รับวัคซีน โดยยึดวันที่จองไว้เดิมให้ได้มากที่สุด เท่าที่สามารถจะทำได้ เนื่องจากสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลงอยู่
          
"ผมต้องขออภัยหากมีประชาชนท่านใดอาจไม่ได้รับความสะดวกมากนัก หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงบ้าง ซึ่งผมได้เน้นย้ำในหลักการไว้แล้ว จะดำเนินการแก้ไขปัญหาและเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบให้เร็วที่สุด" นายกรัฐมนตรี กล่าว 

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ข้อจำกัดที่สำคัญที่เราจำเป็นต้องปรับแก้คือเรื่องการจัดส่งวัคซีน ซึ่งทุกคนน่าจะทราบดีว่าไม่ได้มาครั้งเดียวทั้งหมดตามสัญญา แต่จะมีการทยอยจัดส่งเข้ามาเป็นรอบๆ ซึ่งเราถือหลักการที่จะจัดส่งให้เร็วที่สุดโดยพิจารณาเป็นรายเดือนตามจำนวนวัคซีนในมือถือเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งอาจเกิดข้อจำกัดในการบริหารจัดการอยู่บ้างในระยะแรก ซึ่งขณะนี้ ทางกระทรวงสาธารณสุขได้ชี้แจงและทำความเข้าใจโรงพยาบาลต่างๆ ให้ทราบถึงหลักเกณฑ์การกระจายวัคซีนและข้อจำกัดในการจัดสรรจำนวนวัคซีนให้สอดคล้องกับยอดผู้ลงทะเบียนในระบบแล้ว ซึ่งวันนี้เราบริหารในเดือนมิถุนายนซึ่งเรามีจำนวนวัคซีนอยู่จำนวนเท่าไหร่ก็จะเร่งกระจายให้มากที่สุด และถ้าสามารถจัดหาวัคซีนได้เพิ่มเติมก็จะ กระจายเพิ่มเติมอีกให้มากที่สุด ในส่วนของวัคซีนยี่ห้ออื่นด้วย 

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลพยายามจะหาวัคซีนมาเพิ่มเติมให้ได้มากที่สุด โดยไม่รอวัคซีนที่ทำสัญญาไว้แล้วเท่านั้น เชื่อว่าในเดือนต่อไปเราน่าจะมีวัคซีนเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ จนแต่ละจังหวัดแต่ละจุดที่ฉีดวัคซีนสามารถบริหารจัดการได้สะดวกมากขึ้น เพราะไม่ต้องการให้ประชาชนคนไทยที่จองแล้วต้องถูกเลื่อนคิวอีก ถือเป็นเหตุผลหลักและความจำเป็นที่ขอชี้แจงให้ทราบ

"เป้าหมาย 100 ล้านโดส ที่ตั้งไว้ยังไม่เปลี่ยนแปลง มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยวันนี้ได้ทำสัญญากับแอสตาเซเนกา ที่ผลิตโดยบริษัม สยามไบโอไซเอนซ์ แล้วจำนวน 61 ล้านโดส ซึ่งจะทยอยส่งมา อีกทั้งมีสัญญากับซิโนแวค 6 ล้านโดส และมีแผนจัดซื้อเพิ่มอีก 8 ล้านโดส คาดว่าสามารถทำสัญญากับไฟเซอร์ และจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน รวมแล้วประมาณ 25 ล้านโดส และยังมีอีกวัคซีนอีกจำนวนหนึ่งที่ได้รับจากการเจรจาทางความสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ และในปีหน้าคาดว่าจะมีวัคซีนที่ผลิตโดยคนไทยเองอีกด้วย จากการวิจัยพัฒนาของเรา โดยใช้ควบคู่ไปกับแพทย์แผนไทยในส่วนของสมุนไพรต่างๆ เพื่อใช้ประกอบกัน มีการพัฒนาไปสู่การผลิตให้มากยิ่งขึ้นเพื่อที่จะมีรายได้มีการปรับเปลี่ยนพื้นที่การเพาะปลูก พืชสมุนไพรจะเป็นการช่วยเพิ่มอาชีพรายได้ให้กับเกษตรกรที่ทำการเกษตรไม่ได้ผล ซึ่งอยู่ในแผนงานการขับเคลื่อนของรัฐบาลต่อไป" นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า