ในงาน “ประเทศไทยต้องไปต่อ แต่ประยุทธ์ต้องพอเถอะ” จัดขึ้นที่พรรคเพื่อไทย นายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมาย พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า หลังจากที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ได้ประกาศว่าประเทศไทยต้องไปต่อ ขณะเดียวกันยังสมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) หวังส่งสัญญาณหมายถึงเมื่อพลเอกประยุทธ์ไปต่อ ประเทศไทยจะขาดตัวเองไม่ได้ ทั้งที่จะได้ ส.ส. ถึง 30 คนหรือไม่ แต่พลเอกประยุทธ์ควรหยุด เนื่องจาก
1.ที่มาของ พล.อ.ประยุทธ์ มาจากการยึดอำนาจการปกครองประเทศจากรัฐบาลนยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งคนที่ยึดอำนาจการปกครองถือเป็นกบฎตามกฎหมาย เมื่อยึดอำนาจเสร็จจึงนิรโทษกรรมตัวเองให้การยึดอำนาจไม่เป็นความผิด ลงโทษไม่ได้ ซึ่งพรรคเพื่อไทยได้เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าการยึดอำนาจเป็นความผิดไม่มีอายุความ ห้ามให้มีการยึดอำนาจและผิดต่อประเพณีการปกครองของประเทศ
2.การแต่งตั้งตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรี และพยายามแต่งตั้งองคาพยพในการเสนอกฎหมาย เช่น สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ซึ่งเป็นสภาเดียว เมื่อออกกฎหมายจะอิงกับมาตรา 44 ซึ่งริดรอนสิทธิเสรีภาพพี่น้องประชาชน รวมทั้งการตั้งสภาปฏิรูปประเทศ ซึ่งจนถึงปัจจุบันนี้การปฏิรูปประเทศยังไปไม่ถึงไหน เมื่อให้สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) มาทำเรื่องปฏิรูปกลับไม่มีความคืบหน้า อย่าง พ.ร.บ.การศึกษา ซึ่งเป็นหนึ่งในการปฏิรูปประเทศ ยังค้างในสภา ทั้งที่การปฏิรูปการเมือง เขียนไว้ในท้ายรัฐธรรมนูญด้วยซ้ำให้เร่งทำให้สำเร็จ แต่การดำเนินการสวนทางกับความเป็น
ชูศักดิ์ กล่าวอีกว่า พรรคเพื่อไทยเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 272 เพื่อไม่ให้ ส.ว.โหวตนายกรัฐมนตรี แต่ ส.ว.บอกจะแก้มาตรา 158 เรื่องการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 8 ปี แต่ตนรู้ลึกกว่านั้น เพราะทราบมาว่า ส.ว.จะเสนอให้ปลดล็อกแก้ไขคุณสมบัติ ส.ว.ด้วย จากเดิมหาก ส.ว.จะสมัครเป็น ส.ส.ต้องพ้นจากตำแหน่งมาเกินกว่า 2 ปี เป็นไม่มีกำหนด ซึ่งหาก ส.ว.ทำแบบนี้จริง คงสุดยอดโกลาหล
การเมืองจะยิ่งเลวลง ไม่ใช่เจริญขึ้น บางคนเป็น ส.ส.พรรคนี้ แต่ไปโหวตให้อีกพรรคหนึ่ง ที่นั่งในสภาอยู่ตรงไหนไม่รู้ แล้วมาโหวตให้รัฐบาล เห็นได้ชัดว่าปฏิรูปการเมืองล้มเหลว ปฏิรูประบบราชการล้มเหลว เราไม่เคยเห็นมาก่อนเลยว่า วันดีคืนดี จะได้เห็นเงินจำนวนมากในห้องข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ที่น่าแปลกประหลาด น่าสังเวชใจที่ประเทศไทยมาถึงจุดนี้ค่อ เห็นภาพนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ยืนเข้าแถว ถือพวงมาลัยใส่พาน ให้รัฐมนตรี ถามว่าการเมืองในประเทศไทยขณะนี้เป็นแบบนี้หรือ ระบบราชการประเทศไทยเป็นขนาดนี้เลยหรือ หากไปสืบสาวราวเรื่อง การกระทำดังกล่าวอาจเปผ่นกระทำที่ขัดต่อบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ เพราะก้าวก่ายแทรกแซงการทำงานของข้าราชการประจำหรือไม่ หากพลเอกประยุทธ์ยังกระชากลากถูประเทศไปแบบนี้ แล้วคิดว่าตัวเองเป็นคนสำคัญ ต้องไปต่อ ประเทศจะยิ่งดิ่งลง และท้ายที่สุดจะตก ต่ำที่สุดในเอเชีย
“การที่พลเอกประยุทธ์ ร่างรัฐธรรมนูญเพื่อสืบทอดอำนาจตัวเอง อยู่ๆ สะดุดขาตัวเอง จะแก้ไขให้การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเกิน 8 ปี ถ้าเป็นผมคงอยู่ไม่ได้ เพราะการที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีมติ 6 ต่อ 3 ให้การดำรงนายกรัฐมนตรีของพลเอกประยุทธ์ ยังไม่ครบวาระ 8 ปีก็จริง แต่ตุลาการ อีก 3 เสียง บอกว่า พลเอกประยุทธ์ขาดคุณสมบัติแล้ว เพราะดำรงตำแหน่งมา 8 ปี การที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ บอกว่าไม่ขาดคุณสมบัติ เสียงต้องเอกฉันท์ สะอาด ปราศจากราคีทั้งหลายทั้งปวง” ชูศักดิ์ กล่าว
สุทิน คลังแสง ส.ส. มหาสารคาม รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวว่า ก่อนที่พลเอกประยุทธ์ อยากจะอยู่ต่อ อยากให้พลเอกประยุทธ์พิจารณาและมองเห็นถึงข้อเท็จจริงต่างๆ ได้แก่
1.ข้อกฎหมาย ซึ่งจะบอกว่าพลเอกประยุทธ์ ต้องหยุดหรือไม่ เพราะในรัฐธรรมนูญเขียนไว้ว่าการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต้องไม่เกิน 8 ปี ซึ่งในข้อเท็จจริง พล.อ.ประยุทธ์ต้องหยุดทำหน้าที่ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2565 แต่เมื่อมาถึง ปี 2568 กลับขอเป็นต่ออีก 2 ปี ซึ่งไม่มีข้อกฎหมายในประเทศจะให้เป็นนายกรัฐมนตรี อีกครึ่งวาระแต่อย่างใด
2.สามัญสำนึก วันนี้พล.อ.ประยุทธ์ จะมาเปลี่ยนบรรทัดฐานใหม่ สร้างมรดกทางความคิดที่เลวร้ายให้ลูกหลาน
3.ความเคารพต่อความรู้สึกประชาชน พล.อ.ประยุทธ์ต้องดูว่าปฏิกิริยาสังคม โพล ต่างๆ มีต่อตนเองอย่างไร ซึ่งตนไม่เชื่อว่าพลเอกประยุทธ์จะไม่รู้ว่าประชาชนเกลียดตัวเอง เพราะการเผยแพร่ข่าวสารในโซเชียลมีเดียทุกวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์เปิดทุกวัน คนในครอบครัวและลูกน้องต้องบอกอยู่แล้ว
4.สำนึกในความรับผิดชอบต่อประเทศ หาก พล.อ.ประยุทธ์จะอยู่ต่อ ท่ามกลางภาพอนาคตที่จะแย่ลงกว่าวันนี้ ต้องลงทุนทำอะไรบ้าง แต่กลับเป็นว่าสร้างพรรคเฉพาะกิจ ตัดต่อพันธุกรรม ซึ่งเคยเกิดขึ้นในอดีต และสร้างความเสียหายให้กับประเทศมาจนถึงทุกวันนี้ และยังจะวางแผนต่อสู้อีก เช่น หนีการอภิปรายตามมาตรา 152 ทั้งที่ผลโพลบอกว่าเพื่อไทยนำ แต่พล.อ.ประยุทธ์ยังจะไปต่อ ซึ่งหมายความว่าพล.อ.ประยุทธ์วางแผนจะทำอะไรต่อหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์จะหักเจตนาประชาชนอีกครั้งหรือไม่
5.ธรรมะ โลกนี้ต้องมีความพอดี ยกตัวอย่างระบบจักรวาล ดวงอาทิตย์มีขึ้น มีลง หากดวงอาทิตย์ไม่ลงภายใน 12 ชั่วโมงโลกจะไหม้เป็นจุล ต้องมีเวลาอยู่ที่พอดี เข่นเดียสกับพลเอกประยุทธ์ต้องมีเวลาที่รู้จักพอ
“ผมเชื่อว่าประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นของฝ่ายเพื่อไทยแน่ แต่หากสมมติ คุณจะเป็นรัฐบาลแบบถูลู่ถูกัง จะผ่านอภิปรายไม่ไว้วางใจทีต้องแจกกล้วย เพราะเป็นรัฐบาลแบบเป็ดง่อย อ่อนเปลี้ย อย่าทำเพื่อสนองกิเลสตัวเองอีกเลย ตอนนี้ประเทศจมดิ่งลงในโคลนแล้ว ในการอภิปรายตามมาตรา 152 ความจริงของพลเอกประยุทธ์จะต้องเปิดเผย เป็นหน้าที่ของฝ่ายค้านและประชาชน สุดท้ายจะยุบสภาหนีอภิปราย แล้วประชาชนจะลงโทษในการเลือกตั้ง” สุทิน กล่าว
จาตุรนต์ ฉายแสง สมาชิกพรรคเพื่อไทย อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การเลือกตั้งรัฐบาลในหลายๆ ประเทศ ประชาชนจะพิจารณาจากการบริหารงานที่ดี สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ หากทำได้ ก็จะได้รับเลือกจากประชาชนให้เป็นรัฐบาลและผู้นำประเทศต่อ แต่หากบริหารงานไม่ดีก็จะไม่ได้รับเลือกตั้ง ซึ่งเป็นรูปแบบการเลือกตั้งที่สะท้อนความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง ในทางกลับกัน การขับเคลื่อนประเทศของ พล.อ.ประยุทธ์ ถือว่าไม่ถูกต้อง เพราะได้รับการสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีจากพรรคการเมืองหนึ่ง แต่ตอนนี้กลับไปสมัครสมาชิกพรรคของอีกพรรคการเมืองหนึ่ง เพื่อจุดมุ่งหมายของในการเป็นแคนดิเคตนายกรัฐมนตรี เพื่อเป็นนายกรัฐมนตรีต่ออีก 2 ปี ตามกฎหมาย แม้ความจริงจะเกินมาแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ปรากฏมีหลักฐานการคิดร่วมกันในหมู่สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่ไม่ใช่แค่โยนหินถามทาง แต่เป็นความตั้งใจปลดล็อกให้สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้ไม่สิ้นสุด เคยมีความพยายามลักษณะนี้มาแล้วก่อนหน้านี้ในช่วงร่างรัฐธรรมนูญที่หาทางให้ พลเอกประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีต่อ โดยก่อนลงประชามติ ได้เติมคำถามพ่วงให้ ส.ว. มีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งหากปลดล็อกให้สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้ไม่สิ้นสุด สิ่งที่น่ากังวลมีดังนี้
1. พล.อ.ประยุทธ์ จะกลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ส่วนพรรคฝ่ายค้านร่วมกับพรรคอื่น ก็ได้เสียงเกินครึ่งในสภา สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือจะมีงูเห่าเต็มสภา เพื่อให้รัฐบาลอยู่ได้
2. หากมีความต้องการแก้รัฐธรรมนูญ สมมติว่าพรรคเพื่อไทยไปเป็นฝ่ายค้าน ทั้งที่คะแนนเกินครึ่ง ถ้าจะแก้รัฐธรรมนูญต้องได้เสียง 20% ของฝ่ายค้าน ถึงเวลานั้น จะเกิดงูเห่าเต็มสภา เพราะรัฐบาลไม่มีสเถียรภาพ และประชาชนไม่มีโอกาสยับยั้งได้
“ที่ผ่านมา ภายใต้การบริหารของ พลเอกประยุทธ์ ประเทศไทยฟื้นตัวช้าที่สุดและเศรษฐกิจโตเป็นอันดับท้ายๆ ในอาเซียน ในปี 64 โตเพียง 1.3% จะพ้นกับดักรายได้ปานกลางได้อย่างไร ต้องแก้ปัญหาส่งออก แต่กลับไม่เคยเจรจาการค้า ปัญหาการคอร์รัปชันยิ่งเลวร้ายมาตลอดในสมัยพลเอกประยุทธ์ ดังนั้น ก่อนการเลือกตั้งจะเกิดขึ้น ขอเรียกร้องให้ ส.ว.ร่วมปิดสวิตซ์ตัวเองซะ และเพื่อให้เลือกตั้งมีผลสะท้อนความต้องการประชาชนจริงๆ เพื่อไม่ให้พลเอกประยุทธ์ได้เสียงเพียงพอไปต่อ” จาตุรนต์กล่าว