ซินหัว รายงานว่า จีนเตรียมปรับปรุงประสิทธิภาพและความเหมาะสมของนโยบายและมาตรการบริหารจัดการการตรวจคนเข้าเมืองตามมาตรการรับมือโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ที่ลดระดับลงของประเทศ ซึ่งจะเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค. 2023
ประกาศจากสำนักบริหารการตรวจคนเข้าเมืองแห่งชาติจีน เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. ที่ผ่านมา ระบุว่านโยบายและมาตรการชุดปรับปรุงจะครอบคลุมการรับและอนุมัติคำขอหนังสือเดินทางทั่วไปของพลเมืองจีนที่มีจุดประสงค์ท่องเที่ยวและเยี่ยมเพื่อนในต่างประเทศ
สำนักฯ จะกลับมาดำเนินกระบวนการรับรองผู้พำนักอาศัยบนแผ่นดินใหญ่ที่ต้องการเดินทางไปยังเขตบริหารพิเศษฮ่องกงด้วยจุดประสงค์ท่องเที่ยวและทำธุรกิจ รวมถึงการออกใบอนุญาตเข้า-ออกสาธารณรัฐประชาชนจีน และใบอนุญาตเข้า-ออกพื้นที่ควบคุมชายแดน
ขณะเดียวกันสำนักฯ จะกลับมาให้บริการเกี่ยวกับการยื่นขอวีซ่าทั่วไป ใบอนุญาตพำนัก และใบสำคัญถิ่นที่อยู่ สำหรับชาวต่างชาติ ซึ่งอาจมีการดำเนินขั้นตอนเร่งด่วนในกรณีจำเป็น รวมถึงบริการออกวีซ่า ณ ด่านตรวจลงตรา นโยบายเดินทางผ่านแบบฟรีวีซ่าระยะ 24/72/144 ชั่วโมง และใบอนุญาตพำนักชั่วคราว
ขณะที่ วีโอเอไทย รายงานว่า การลดระดับมาตรการลงเป็นผลจากเมื่อเดือนที่แล้ว (พ.ย.) ประชาชนทั่วจีนออกมาแสดงความไม่พอใจต่อการดำเนินมาตรการคุมเข้มภายใต้นโยบาย "โควิดเป็นศูนย์" ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ทำให้รัฐบาลกรุงปักกิ่งประกาศพลิกกลับแผนงานควบคุมการระบาดแบบฉับพลันในเดือนนี้ (ธ.ค.) ด้วยการยกเลิกมาตรการหลายข้อ ซึ่งทำให้โรงพยาบาลทั่วประเทศประสบภาวะคนไข้ล้นเพราะมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น
และก่อนจะถึงวันที่ 8 ม.ค. ผู้ที่เดินทางเข้ามาในจีนยังต้องกักตัวภายในพื้นที่ที่รัฐบาลจัดไว้เป็นเวลา 5 วันก่อนจะไปแยกตัวที่บ้านตนเองอีก 3 วัน
แต่หลังการยกเลิกมาตรการดังกล่าวแล้ว ผู้ที่เดินทางมาจีนยังต้องทำการตรวจหาการติดเชื้อด้วยระบบ PCR ภายใน 48 ชั่วโมงก่อนออกเดินทางจากจุดเริ่มต้นอยู่ดี ตามข้อมูลจากคณะกรรมาธิการสุขภาพจีนอย่างมาก
'ญี่ปุ่น' เข้มคนเดินทางเข้าประเทศจากจีน เริ่ม 30 ธ.ค.
ด้านประเทศญี่ปุ่น Japantimes เปิดเผยว่า ฟูมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น กล่าวว่า ญี่ปุ่นจะคุมเข้มผู้ที่เดินทางจากประเทศจีนมายังญี่ปุ่น โดยเริ่มวันที่ 30 ธ.ค. นี้ หลังพบว่าสถานการณ์โควิดในประเทศจีนมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ซึ่งประกาศการคุมเข้มการเข้าประเทศดังกล่าวมีขึ้นจากที่เมื่อเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา รัฐบาลญี่ปุ่นเพิ่งประกาศอนุญาตให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเจ้าประเทศโดยไม่ต้องถูกกักตัว ทำให้คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวจีนหลั่งไหลเข้าไปญี่ปุ่นในช่วงเทศกาลตรุษจีนที่จะเริ่มในวันที่ 22 ม.ค. ปีหน้า (66)
โดยการประกาศอย่างกะทันหันของคิชิดะมีขึ้นเพียงหนึ่งวันหลังจากมีข่าวว่าจีนจะยกเลิกมาตรการกักตัวนักท่องเที่ยวขาเข้าตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค. ซึ่งเป็นหนึ่งในขั้นตอนที่สำคัญที่สุดของประเทศนับตั้งแต่ยกเลิกนโยบาย "โควิดเป็นศูนย์" เป็นเวลา 2 ปี ซึ่ง ผู้ที่เดินทางทั้งหมดจากประเทศจีน รวมถึงชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติที่เดินทางกลับมายังประเทศญี่ปุ่น รวมถึงผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศจีน 7 วันก่อนหน้านี้จะได้รับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 เมื่อเดินทางมาถึงญี่ปุ่น และผู้ที่มีผลตรวจเป็นบวกจะต้องกักตัวในสถานที่ที่กำหนดเป็นเวลา 7 วัน
นอกจากนี้ จำนวนเที่ยวบินจากจีนจะถูกจำกัดเพื่อป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ในญี่ปุ่นที่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน คิชิดะกล่าวกับผู้สื่อข่าวที่สำนักนายกรัฐมนตรี ขาเข้าจากจีน ฮ่องกง และมาเก๊าจะถูกจำกัดไว้ที่สนามบิน 4 แห่ง ได้แก่ นาริตะ ฮาเนดะ คันไซ อินเตอร์เนชั่นแนล และชูบุ
'หมอเก่ง-เพชร กรุณพล' ประสานเสียงถามรัฐบาล รับมือยังไงจีนเปิดประเทศหลังปีใหม่?
ด้าน กรุณพล เทียนสุวรรณ รองโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่จีนประกาศเปิดประเทศและเตรียมอนุญาตให้ประชาชนเดินทางออกนอกประเทศได้ ท่ามกลางสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ภายในประเทศจีนที่ยังน่ากังวลว่า การที่จีนเปิดประเทศ เป็นได้ทั้งโอกาสและความเสี่ยงของประเทศไทย ในแง่โอกาส เช่น ให้คนจีนมาฉีดวัคซีน mRNA ที่ประเทศไทยโดยมีค่าใช้จ่าย ออกแบบแอปพลิเคชันติดตามและให้นักท่องเที่ยวแจ้งเมื่อป่วย หรือเตรียมสินค้าด้านการดูแลสุขภาพที่คาดว่าเป็นที่ต้องการของชาวจีน เชื่อว่าหากวางแผนอย่างรัดกุม ประเทศไทยจะได้ประโยชน์ ไม่ใช่เพียงการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว แต่รวมถึงการขายสินค้า และการควบคุมการแพร่ระบาดในประเทศ อย่างไรก็ตาม ตนไม่แน่ใจว่าประชาชนจะคาดหวังกับวิสัยทัศน์ของรัฐบาลได้แค่ไหน เมื่อดูจากการรับมือสถานการณ์โควิดที่ผ่านมา
นพ.วาโย อัศวรุ่งเรือง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า จุดยืนของพรรคก้าวไกลคือการเปิดประเทศเท่ากับการเปิดเศรษฐกิจ และการฟื้นเศรษฐกิจต้องทำควบคู่ไปกับการสร้างความเชื่อมั่นในความปลอดภัยของประชาชน ดังนั้น เรื่องสำคัญที่สุดในการรับนักท่องเที่ยวชาวจีน คือการขอผลการฉีดวัคซีน นักท่องเที่ยวที่จะเข้าประเทศไทย ควรได้รับวัคซีนครบ 4 เข็ม แบ่งเป็น ฉีดแบบ 2 เข็ม (Full Dose) และเข็มกระตุ้น (Booster Dose) อีก 2 เข็ม ซึ่งต้องเป็น mRNA
นอกจากนี้ รัฐควรใช้ระบบติดตามตัว เช่นที่รัฐบาลญี่ปุ่นและฮ่องกงเคยใช้มาก่อน เมื่อคนคนนั้นเข้าไปยังสถานที่ปิด เช่น โรงหนัง จะมีการแจ้งเตือนเข้าระบบ ทั้งนี้ การที่ประชาชนให้ความสนใจและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวเปิดประเทศของจีนครั้งนี้ ก็สะท้อนถึงความไม่มั่นใจในระบบจัดการการรับเข้านักท่องเที่ยวของประเทศไทย ซึ่งประเด็นนี้ รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องตอบคำถาม
ที่มา
- Xinhua
- VOAthai