Skip to main content

 

การใช้ “ยาปฏิชีวนะ” โดยไม่จำเป็น หรือไม่ถูกวิธี การซื้อยามากินเอง หยุดยาเมื่ออาการดีขึ้น หรือเลือกใช้ยาที่ออกฤทธิ์กว้างเกินจำเป็น ผลที่ตามมา คือ “เชื้อดื้อยา” ทำให้การรักษาทำได้ยากขึ้น ต้องใช้ยาแรงขึ้น ในบางกรณีเชื้อบางชนิดยังพัฒนาเป็น“ซูเปอร์บัก” ที่แทบไม่มียารักษาได้เลย

“เชื้อดื้อยา” คือ ภาวะที่เชื้อแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา หรือปรสิต ปรับตัวจนยาที่เคยใช้ได้ผล กลับไม่ได้ผลอีกต่อไป แม้บางส่วนจะเกิดจากวิวัฒนาการตามธรรมชาติของเชื้อเอง แต่สิ่งที่เร่งให้ปัญหานี้รุนแรงขึ้น คือ “พฤติกรรมการใช้ยาที่ไม่เหมาะสม”  

ปัญหาเชื้อดื้อยาเป็นวิกฤตที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนทั่วโลกมาอย่างยาวนาน องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ออกยุทธศาสตร์โลกฉบับแรก Global Strategy for Containment of Antimicrobial Resistance มาตั้งแต่ปี 2001 เพื่อควบคุมและป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อดื้อยาอย่างเป็นระบบ แต่สถานการณ์ยังคงเลวร้ายลงอย่างต่อเนื่อง จนในปี 2019 องค์การอนามัยโลก ได้ประกาศให้ ปัญหาเชื้อดื้อยาเป็น 1 ใน 10 ภัยคุกคามสุขภาพระดับโลก

ในปี 2019 The Lancet วารสารทางการแพทย์รายงานว่า มีผู้เสียชีวิตทั่วโลกกว่า 1.27 ล้านคนต่อปีจากการติดเชื้อแบคทีเรียดื้อยา ผศ.นพ.พิสนธิ์ จงตระกูล ประธานคณะทำงานสร้างความเข้มแข็งประชาชนด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผล (สยส.) กล่าวว่า ตัวเลขนี้บ่งชี้ว่า ปัญหาเชื้อดื้อยาไม่ได้จำกัดอยู่ในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง แต่กำลังแพร่กระจายไปทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย และหากไม่เร่งแก้ไขอย่างจริงจัง ภายในปี  2050 จำนวนผู้เสียชีวิตจากเชื้อดื้อยาอาจพุ่งสูงถึง 10 ล้านคนต่อปี

ผศ.นพ.พิสนธิ์ เผยว่า สถานการณ์เชื้อดื้อยาในไทย มีความน่าวิตกไม่แพ้ที่ใดในโลก โดยประเทศไทยกำลังอยู่ท่ามกลางวิกฤตเชื้อดื้อยาที่ขยายวงกว้างขึ้นทุกปี

ผศ.นพ.พิสนธิ์เผยว่า ข้อมูลจากวารสารวิจัยระบบสาธารณสุข ปี 2553 ระบุว่า ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อดื้อยาราว 88,000 คนต่อปี และมีผู้เสียชีวิตมากถึง 38,000 คน หรือเฉลี่ยวันละ 104 คน มากกว่าผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนในปี 2567 ที่ราว 17,447 คน หรือเฉลี่ยวันละ 48 คน หรือมากกว่าเท่าตัว

“หากยังไม่เร่งสร้างความตระหนักและร่วมมือกันแก้ไขอย่างจริงจัง ปัญหานี้ยังส่งผลให้ผู้ป่วยต้องนอนโรงพยาบาลนานขึ้นกว่า 3.24 ล้านวันต่อปี เพิ่มภาระให้บุคลากรทางการแพทย์และโรงพยาบาลทั่วประเทศ และสะท้อนว่าปัญหาเชื้อดื้อยาไม่ได้กระทบแต่ผู้ป่วยรายบุคคล แต่กำลังบั่นทอนศักยภาพของระบบสาธารณสุขไทยโดยรวม” ผศ.นพ.พิสนธิ์กล่าว

ผศ.นพ.พิสนธิ์เผยว่า องค์การอนามัยโลก อัปเดตรายชื่อ “เชื้อแบคทีเรียดื้อยาที่สำคัญ” หรือ The WHO Bacterial Priority Pathogens List 2024 เพื่อใช้วางแผนเฝ้าระวัง ป้องกันการระบาด และพัฒนายาใหม่ โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก คือ เชื้อดื้อยาระดับวิกฤติ (Critical Priority), เชื้อดื้อยาระดับสูง (High Priority) และเชื้อที่ต้องจับตา (Medium Priority)

เชื้อดื้อยาระดับวิกฤติ เป็นกลุ่มที่อันตรายที่สุด เพราะยาที่ใช้รักษากำลังทยอยหมดไป เหลือเพียงไม่กี่ชนิด หรือบางครั้งไม่มียาใดที่ใช้ได้ผล ส่วน  เชื้อดื้อยาระดับสูง มีแนวโน้มดื้อยามากขึ้น ทำให้รักษาได้ยาก ทั้งสองกลุ่มนี้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างมาก ทั้งในด้านการเจ็บป่วยและการเสียชีวิต

ผศ.นพ.พิสนธิ์กล่าวว่า เดิมทีเชื้อเหล่านี้มักพบในสถานพยาบาล โดยเฉพาะห้อง ICU ที่มีผู้ป่วยอาการหนักและต้องใช้ยาปฏิชีวนะต่อเนื่อง แต่ปัจจุบันกลับพบมากขึ้นในชุมชน เชื้อดื้อยาระดับวิกฤติบางชนิดเป็นสาเหตุของการติดเชื้อในกระแสเลือด เช่น Acinetobacter baumannii และเชื้อในกลุ่ม Enterobacteriaceae อย่าง Escherichia coli ซึ่งดื้อยา carbapenem ที่เป็นยาปฏิชีวนะด่านสุดท้ายสำหรับผู้ป่วยติดเชื้อรุนแรง การติดเชื้อในกลุ่มนี้มีอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 30–50 เปอร์เซ็นต์

ส่วน เชื้อในกลุ่มที่ต้องจับตา แม้จะยังไม่รุนแรงเท่ากลุ่มแรก แต่ก็ไม่อาจมองข้ามได้ เพราะเป็นสาเหตุของโรคในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะโรคทางเดินหายใจและหู คอ จมูก เช่น Streptococcus pneumoniae หรือ Pneumococcus และ Haemophilus influenzae ซึ่งทำให้เกิดโรคปอดอักเสบหูชั้นกลางอักเสบ และเยื่อหุ้มสมองอักเสบในเด็ก

ผศ.นพ.พิสนธิ์ย้ำว่า ยาที่ใช้กับแบคทีเรียเหล่านี้จึงเป็น “ยาปฏิชีวนะที่มีความสำคัญสูงต่อการแพทย์ในมนุษย์” (Critically Important Antimicrobials for Human Medicine: CIA) ซึ่งควรถูกจำกัดการใช้ เพื่อรักษาประสิทธิภาพของยาให้คงอยู่ได้ยาวนานที่สุด

 


เช็กลิสต์พฤติกรรมเสี่ยง ที่เร่งให้เชื้อดื้อยาเพิ่มขึ้น

 

แม้สาเหตุของเชื้อดื้อยาจะมีหลายปัจจัย แต่ต้นเหตุสำคัญประการหนึ่งมาจากการใช้ยาปฏิชีวนะผิดวิธี จากความเข้าใจคลาดเคลื่อนหรือความเคยชินในชีวิตประจำวัน ซึ่งเราทุกคนสามารถช่วยหยุดเชื้อดื้อยาได้ เพียงหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเหล่านี้ คือ

1. ใช้ยาปฏิชีวนะเอง โดยไม่ปรึกษาหรือขอคำแนะนำที่ถูกต้องจากแพทย์หรือเภสัชกร 
2. ใช้ยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อ เช่นกินทุกครั้งที่มีอาการไม่สบาย เช่น ไข้ ไอ เจ็บคอ หรือท้องเสีย
3. ใช้ยาไม่ตรงกับเชื้อก่อโรค คือ การไม่แยกแยะว่าเป็นโรคจากแบคทีเรียหรือไวรัส
4. ใช้ยาแรงเพราะอยากหายเร็ว โดยที่ควรใช้เพียงยาที่ออกฤทธิ์แคบ
5. ใช้ยาไม่ครบคอร์ส เพราะคิดว่าหายแล้ว หรือแบ่งยาให้คนอื่น 
6. ใช้ไม่ถูกวิธี เช่นกินยาไม่ตรงเวลา หรือลืมกินยาเป็นบางมื้อ ซึ่งทำให้ระดับยาในร่างกายต่ำกว่าที่จะฆ่าเชื้อได้ เชื้อที่ยังถูกกำจัดไม่หมดจึงมีเวลาฟื้นตัว แข็งแรงขึ้น และค่อย ๆ ปรับตัวจนดื้อยาได้ในที่สุด

 


แก้ปัญหาเชื้อดื้อยา “ใช้ยาอย่างสมเหตุผล” และต้องขับเคลื่อนทั้งระบบ

 

การรับมือกับปัญหาเชื้อดื้อยา ต้องอาศัยความร่วมมืออย่างจริงจังในทุกระดับ ตั้งแต่ร้านยา คลินิกและโรงพยาบาล ห้องปฏิบัติการ ไปจนถึงการกำหนดนโยบายสาธารณสุขระดับชาติ เพื่อควบคุมการใช้ยาปฏิชีวนะ เฝ้าระวังการระบาด และป้องกันการแพร่เชื้อในทุกการเชื่อมต่อของระบบสุขภาพ

 

  • ร้านยาและเภสัชกรชุมชน 

เภสัชกรร้านยาควรเสริมสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชนให้เข้าใจถึงอันตรายของเชื้อดื้อยา ให้คำแนะนำในการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างถูกต้อง คัดกรองอาการเบื้องต้นของผู้ป่วย แนะนำการดูแลตนเองที่เหมาะสม และส่งต่อให้พบแพทย์เมื่อจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะที่มีความสำคัญสูงทางการแพทย์ (CIA)

  • สถานพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชน 

ทุกสถานพยาบาลควรมีนโยบายส่งเสริมการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างรับผิดชอบและสมเหตุผลพร้อมตัวชี้วัดเพื่อลดการใช้เกินจำเป็น และมีระบบติดตาม รวมถึงการให้ข้อมูลย้อนกลับ โดยดำเนินงานแบบบูรณาการตามแนวทาง Antibiotic Stewardship Program (ASP) ที่มุ่งเน้นให้เลือกใช้ยาได้ถูกชนิด ถูกขนาด ถูกระยะเวลา และถูกวิธีการ ควบคู่กับการป้องกันการติดเชื้อในสถานพยาบาลอย่างเข้มงวด

  • ระบบสาธารณสุข 

วางมาตรฐานและกลไกแก้ไขปัญหาเชื้อดื้อยาอย่างเป็นระบบ โดยกำหนดแนวปฏิบัติในการสั่งใช้ยาปฏิชีวนะอย่างเหมาะสมให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ พร้อมส่งเสริมให้มีการตรวจยืนยันทางห้องปฏิบัติการตามความเหมาะสมก่อนใช้ยา

  • ระดับนโยบาย 

เดินหน้า แผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยการดื้อยาต้านจุลชีพ พ.ศ. 2566-2570 ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ครอบคลุมทั้งการใช้ยาในคนและสัตว์ การเฝ้าระวังเชื้อดื้อยา การวิจัยพัฒนายาและวัคซีนใหม่ ตลอดจนการสื่อสารสาธารณะอย่างต่อเนื่อง โดยภาครัฐควรร่วมมือกับองค์การอนามัยโลกและนานาประเทศ พร้อมสร้างกลไกสนับสนุนด้านกฎหมาย งบประมาณ และการติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่อง

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ต้องเร่งปรับสถานะยาปฏิชีวนะกลุ่มที่มีความสำคัญสูง (CIA) ให้เป็นยาควบคุมพิเศษ เพื่อหยุดการขายยาเหล่านี้โดยไม่มีใบสั่งแพทย์ให้เร็วที่สุด เพื่อรักษายาสำคัญเหล่านี้ไว้ใช้ในกรณีที่จำเป็นทางการแพทย์อย่างแท้จริงเท่านั้น นอกจากนี้ ควรมีการประกาศให้เชื้อดื้อยาเป็น “วาระแห่งชาติ” เพื่อช่วยกระตุ้นให้เกิดการขับเคลื่อนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง

“เชื้อดื้อยาเป็นภัยร้ายแรงที่กำลังคุกคามสุขภาพของมนุษย์ทั่วโลก หากปล่อยไว้โดยไม่เร่งแก้ไขจะยากที่จะรับมือ หากทุกภาคส่วนร่วมกันขับเคลื่อนอย่างจริงจังตั้งแต่วันนี้ ทั้งประชาชน แพทย์ เภสัชกรร้านยา บุคลากรสาธารณสุข ไปจนถึงผู้กำหนดนโยบาย เมื่อทุกคนเห็นความสำคัญและร่วมกันดูแลการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผล เราจะช่วยกันลดจำนวนผู้ป่วย ลดการเสียชีวิต และช่วยชีวิตคนไทยได้อีกเป็นจำนวนมากในแต่ละปี ถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยต้องก้าวเดินไปพร้อมกัน เพื่อให้ ยาที่มีอยู่ ยังคงรักษาเราได้ ทั้งในวันนี้ และวันข้างหน้าของลูกหลานเรา” ผศ.นพ.พิสนธิ์กล่าว