ถ้าการเมืองไทยเดินหน้าไปตามข้อตกลงร่วมกันของพรรคประชาชน แกนนำฝ่ายค้าน และพรรคภูมิใจไทย แกนนำรัฐบาล ภายในปี 2569 ประเทศไทยน่าจะมีการเลือกตั้งทั่วไป และมีการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ที่มาจากเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนที่ลงคะแนนให้
แต่ก่อนที่จะถึงเวลานั้น “ปัญหาเศรษฐกิจ” เป็นสิ่งที่พรรคการเมืองต่างๆ ให้ความสำคัญ เช่นเดียวกับคนไทยเกือบทั้งประเทศที่ตั้งความหวังว่า รัฐบาลจะสามารถพาเศรษฐกิจไทยหลุดจากภาวะชะงักงันและถดถอย มุ่งหน้าไปสู่ความเติบโต ซึ่งนโยบายและวิสัยทัศน์ด้านเศรษฐกิจของผู้ที่จะมาเป็นผู้บริหารประเทศจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดสำหรับประชาชน
ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ประธาน บริษัท แคนวาส เวนเจอร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ธุรกิจร่วมทุนที่ส่งเสริมและพัฒนาสตาร์ทอัพ และผู้ประกอบการหน้าใหม่ของไทย มองว่า เรื่องเศรษฐกิจที่พรรคการเมืองพูดถึง ส่วนใหญ่เป็นนโยบายที่ตอบโจทย์ระยะสั้นมากๆ เช่น การพูดเรื่องตัวคูณทางเศรษฐศาสตร์ ที่สุดท้ายไม่เกิดขึ้นจริง เพราะเป็นนโยบายที่ขับเคลื่อนโดยนำเงินงบประมาณของประเทศไปอัดฉีดในระบบ ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้ไม่ได้ผิด แต่มีเครื่องมืออีกมากที่จะแก้ปัญหาในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวได้มากกว่า แต่ยังไม่ค่อยเห็นพรรคการเมืองมองในประเด็นเหล่านี้
ดร.พันธุ์อาจชี้ว่า พรรคการเมืองต้องมีความชัดเจนว่า 4 ปีที่จะเข้ามาบริหารจะทำให้ประเทศจะเปลี่ยนไปได้อย่างไร โดยเฉพาะการสร้าง “การเติบโตจากภายใน” หรือ Endogenous Growth ซึ่งการมุ่งกระตุ้นการบริโภคเพียงอย่างเดียวยังไม่พอ ต้องมุ่งพัฒนาอินพุททางด้านนวัตกรรม การพัฒนาเอสเอ็มอี และพัฒนาผู้ประกอบการใหม่ๆ ทางด้านนวัตกรรม
“นโยบาย 4 ปีจากนี้ คือ การทำให้เกิด Endogenous Growth เกิดการเติบโตจากภายในอย่างแท้จริงภายในระยะเวลาอันสั้น คือ การทำให้ผู้ประกอบการสามารถพัฒนาตัวนวัตกรรมสินค้า และสามารถทำให้ตลาดภายในประเทศ และตลาดต่างประเทศรองรับสินค้าเมดอินไทยแลนด์ได้อย่างเป็นระบบ เรามีบริษัทขนาดใหญ่ที่กลายเป็นบริษัทระดับโลกแล้ว สามารถที่จะเป็นหัวหอก ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว อุตสาหกรรมอาหาร เกษตร อุตสาหกรรมการแพทย์ และอุตสาหกรรมบริการสำคัญอื่นๆ เราสามารถแบ่งบทบาทกันชัดเจนได้เลยว่า บริษัทใหญ่ทำอะไร เอสเอ็มอีทำอะไร และอุตสาหกรรมที่จะเกิดใหม่ต้องเร่งกระบวนการเติบโตให้มีจำนวนบริษัทมากขึ้น” ดร.พันธุ์อาจกล่าว
ดร.พันธุ์อาจมองว่า อุตสาหกรรมดั้งเดิมของไทย อย่างเช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งในปัจจุบันนี้บริบทต่างจากช่วง 3-4 ปีก่อนหน้า อุตสาหกรรมจะเปลี่ยนจากระบบสันดาปภายในมาเป็นระบบไฟฟ้า แต่ทุกวันนี้เทคโนโลยีมีอยู่เพียงไม่กี่ค่าย และเริ่มมีปัญหาการตัดราคากัน เกิดสิ่งที่เรียกว่า technology polarization
ดร.พันธุ์อาจมองว่า ประเทศไทยยังต้องเก็บอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์เอาไว้ และต้องพัฒนารูปแบบการผลิตที่เป็น smart manufacturing ต้องมีความสามารถในการทำโรงงานอุตสาหกรรมการผลิตที่มีความแม่นยำ มีความสามารถปรับเปลี่ยนการออกแบบที่ไม่ใช่การรับจ้างผลิตชิ้นส่วนอีกต่อไป
“หัวใจสำคัญคือ ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ จะต้องรองรับเทคโนโลยีใหม่ และเข้าสู่ Global Value Chain ไม่เช่นนั้น เราไม่สามารถจะเข้าไปแทรกซึมในระบบ supply chain โลกได้ เทคโนโลยีต่างๆ เราจะตามไม่ทัน เพราะฉะนั้น เรามีฐานอยู่แล้วในด้านอิเล็กทรอนิกส์ ด้านยานยนต์ เราต้องสามารถทำให้บริษัทในประเทศไทยอยู่ใน global value chain ได้” ดร.พันธุ์อาจกล่าว
ลงทุนในผู้ประกอบการรายใหม่ สตาร์ทอัพที่มีนวัตกรรมและมีอนาคต
ดร.พันธุ์อาจมองว่า ที่ผ่านมา เอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพของไทย มีปัญหาการเข้าถึงแหล่งทุน โดยเฉพาะในช่วง early state หรือช่วงที่เริ่มต้นธุรกิจใหม่ๆ ซึ่งต่างจากจีน หรือสหรัฐอเมริกา ที่มีการสนับสนุนทางการเงินให้กับเจ้าของกิจการรายใหม่ในช่วงเริ่มต้น หากมองจากมุมของนักลงทุนก็คือ การซื้อในตอนที่ยังถูก แล้วเอาไปขายแพงในวันข้างหน้า
ดร.พันธุ์อาจบอกว่า ประเทศไทยโฟกัสไปที่บริษัทหรือผู้ประกอบการที่เริ่มมีรายได้แล้ว หรือเริ่มเข้มแข็งแล้ว ในที่สุดจะหาบริษัทดีๆ ที่เกิดใหม่แล้วเติบโตไม่ได้เลย ขณะที่ความเสี่ยงในปัจจุบันต่างไปจากช่วงก่อนการระบาดของโควิด ที่การลงทุนในสตาร์ทอัพจะเป็นแบบ burning cash หรือเผาเงินไปเรื่อยๆ แต่ทุกวันนี้ ผู้ประกอบการจะต้องมีวิธีการที่ดี ที่จะสามารถสร้างรายได้ให้กับนักลงทุนได้
ขณะเดียวกัน “ตลาดทุน” ก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลง ดร.พันธุ์อาจ ระบุว่า หน่วยงานราชการที่มีหน้าที่กำกับควบคุมเงินทุนเหล่านี้ต้องเปลี่ยนแปลงวิธีการมอง ต้องทำงานร่วมกันมากขึ้น ทั้งนี้ ภาครัฐและเอกชนไทยไม่ได้มีปัญหาเรื่องไม่มีเงิน แต่ปัญหาอยู่ที่การหาข้อตกลงทางธุรกิจที่ดีในประเทศไม่ได้
นอกจากนี้ ปัญหาการขาดแคลนคนวัยแรงงาน ที่อาจทำให้ต้องเลื่อนอายุเกษียณไปเป็น 65 ปีนั้น อีกด้านหนึ่ง แรงงานที่เรียนจบใหม่ คือ คนเจนซี และคนรุ่นถัดไปคือ เจนอัลฟ่า ดร.พันธุ์อาจบอกว่า จะต้องมีการเตรียมความพร้อมรองรับงานลักษณะแบบใหม่ๆ หรือ “งานทางนวัตกรรม” ให้กับคนเหล่านี้ ซึ่งเป็นงานที่ขยายมาจากธุรกิจเดิมที่มีการใส่นวัตกรรมเข้าไป หรืองานที่เกิดจากการสร้างระบบเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมใหม่ๆ ขึ้นมาในแบบที่ไม่เคยเห็นในอดีต จากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ซึ่งคนที่จะเข้ามาเป็นรัฐบาลจะต้องมุ่งทำนโยบายเพื่อสร้างงานใหม่ๆ มากกว่าการทำนโยบายแจกเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
Regionalization กระจายโอกาสทางเศรษฐกิจนอกกรุงเทพฯ
ดร.พันธุ์อาจบอกว่า อีกประเด็นหนึ่งที่น่ากังวล คือ การที่เศรษฐกิจของกรุงเทพฯ มีขนาดใหญ่มาก ขณะที่ระบบเศรษฐกิจของเมืองรองมีขนาดเล็กมาก ดร.พันธุ์อาจบอกว่า เชียงใหม่ ผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (GPP) หดตัวลงหลายเปอร์เซ็นต์แล้ว และหลายจังหวัดก็อยู่ในสภาพเช่นเดียวกันที่การเติบโตชะงักงัน
ดร.พันธุ์อาจระบุว่า การทำนโยบายด้านเศรษฐศาสตร์และนโยบายเศรษฐกิจที่พูดถึง regionalization เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งระยะเวลา 4 ปีในการเป็นรัฐบาล สามารถทำให้เมืองหลักบางเมืองกลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจได้ มีการกระจายโอกาสการลงทุน และกระจายการเติบโต ซึ่งไทยต้องทำให้เกิดมีบริษัทกระจุกตัวอยู่ที่เมืองๆ หนึ่งตามทฤษฎี cluster ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าการเกษตร อุตสาหกรรมด้านดิจิทัล ซึ่งในอนาคตระบบ regionalization จะมีความสำคัญมากในการทำให้เกิดการจ้างงาน โดยที่ไม่จำเป็นต้องทำเมกกะโปรเจคท์เพียงอย่างเดียว และ regionalization จะทำให้เกิดผู้ประกอบการในระดับชุมชน และในระดับภูมิภาคอย่างแท้จริง
“เลิกเสียเถอะครับในวิธีการพัฒนาเศรษฐกิจแบบเดิมๆ จัดงานค้าขาย ทำแมชชิ่ง พัฒนาผู้ประกอบการในต่างจังหวัดตามโครงการสั้นๆ เน้นการอบรม เวลาเราดูหลายที่ถอดงบประมาณกัน เอาไปซื้อค่าอาหารว่าง ค่าเบรก สุดท้ายแล้วเงินที่จะเอาไปพัฒนาศักยภาพของบริษัทในต่างจังหวัด supply chain ในระดับเมือง แทบไม่มีเลย” ดร.พันธุ์อาจกล่าว
ยกระดับกระทรวง อว.สู่กระทรวงเศรษฐกิจ
ดร.พันธุ์อาจกล่าวว่า สิ่งหนึ่งที่สำคัญมาก และยังไม่เห็นพรรคการเมืองพูดถึงเรื่องนี้มากนัก คือ การนำ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ อว. เข้ามาอยู่ในกระทรวงที่ดูแลเรื่องเศรษฐกิจ ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง กระทรวงแรงงาน ซึ่งกระทรวง อว. มีตั้งแต่ให้เงินทุนฟรีแก่สตาร์ทอัพและผู้ประกอบการ มีการอบรม มีการพัฒนาตลาด มีแล็ปพัฒนาสินค้าให้ผู้ประกอบการทั่วประเทศจากการที่มีมหาวิทยาลัยอยู่ในสังกัดราว 150 กว่าแห่งทั่วประเทศ
“เราไม่เคยที่จะเอากระทรวง อว.เข้ามาอยู่ในกระทรวงด้านเศรษฐกิจสักเท่าไหร่ กระทรวง อว.ถูกจัดให้อยู่ในกระทรวงสร้างคนมาโดยตลอด ถูกมองว่าเป็นกระทรวงมหาวิทยาลัย กระทรวงนักวิชาการ แต่ลองเข้าไปดูงบประมาณแสนสี่หมื่นกว่าล้าน ลึกๆ กระทรวงนี้ทำหน้าที่สนับสนุนกระทรวงพาณิชย์ อุตสาหกรรม แรงงาน กระทรวงการคลัง ทำให้เกิด supply chain ที่เข้มแข็ง เกิดบริษัทที่ทำนวัตกรรมได้ ในระดับเริ่มต้น เพราะฉะนั้น การจัดหมวดหมู่ระบบราชการให้เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจนวัตกรรม จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนวิธีการ เพราะผมเห็นมาหลายรัฐบาลแล้ว สุดท้ายก็ใช้วิธีการเดิม คือ ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลังนำ แต่สุดท้ายไม่เกิดสิ่งที่เรียกว่า การพัฒนาฐานเศรษฐกิจลงไปถึงฐานราก แต่เป็นการทำนโยบายการเงิน นโยบายดอกเบี้ย นโยบายการหาสินค้าที่ปลายน้ำตลอดเวลา เพราะฉะนั้น การปฏิรูประบบราชการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจจะต้องเกิดขึ้นในรัฐบาลสมัยหน้า” ดร.พันธุ์อาจกล่าว
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง
'เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม' อนาคตเศรษฐกิจไทย และเศรษฐกิจโลก