อเมริกาไม่ใช่สังคมที่ "ปืน" หรือกระทั่ง "มือปืน" จะเป็นสิ่งที่หาได้ยากเย็น เพราะสังคมนี้มีปัญหาเรื่อง "ปืน" มาช้านาน แต่ในเช้าตรู่วันที่ 4 ธันวาคม 2024 เหตุการณ์ที่ทำให้สังคมอเมริกันปัจจุบันมอง "ปืน" เปลี่ยนไปก็เกิดขึ้น หลังจากที่มีข่าวออกว่า มีการลอบสังหาร Brian Thomson ผู้เป็น CEO ของ UnitedHeath บริษัทประกันสุขภาพสัญชาติอเมริกัน ซึ่งเป็นบริษัทประกันสุขภาพที่รายได้สูงที่สุดในโลก
แน่นอนว่า ตอนข่าวออก ทุกคนช็อค ไม่คิดว่าคนระดับ CEO บริษัทใหญ่จะถูก "ลอบสังหาร" ได้ง่ายๆ แบบนี้ และคำถามของทุกคนก็คือ ทำไม แต่ "คำตอบ" ก็อยู่ ณ ที่เกิดเหตุเพราะมือปืนได้ทิ้งปลอกกระสุนที่มีข้อความว่า DENY, DEPOSE และ DELAY ที่ล้อกับแท็กติก Delay, Deny, Defend ของบริษัทประกันในการอ้างที่จะไม่จ่ายเงินประกัน ซึ่งทุกคนที่คุ้นเคยกับระบบประกันสุขภาพอเมริกาก็รู้ว่า เป็นการล้อกับสิ่งที่คนอเมริกันคิดว่า พวกบริษัทประกันสุขภาพชอบทำ
เตะถ่วง ปฏิเสธ หาสารพัดข้ออ้าง เพื่อจะไม่จ่ายเงินประกัน
ที่เรียกว่า Delay, Deny, Defend ซึ่งอธิบายง่ายๆ ก็คือ พวกบริษัทประกันสุขภาพจะชอบปฏิเสธไม่ยอมจ่ายเงินค่าประกันสุขภาพ โดยการเตะถ่วงและอ้างโน่นนี่ และก็ไม่แปลกอีกว่า บริษัทอย่าง UnitedHeath ที่เป็นประกันสุขภาพเจ้าใหญ่สุดของอเมริกา มีชื่อเสียงในการใช้แทกติกแบบนี้ในการไม่ยอมจ่ายเงินประกัน และทำให้คนอเมริกันจำนวนมหาศาลแบบทุกฟากฝั่งการเมือง "เจ็บแค้น" ในระดับที่ทุกคนพอรู้ข้อความบนปลอกกระสุน ก็รู้เลยว่า การลอบสังหารนี้ มีสารทางการเมือง และก็เรียกได้ว่า มีคนพยายามจะตั้งกองทุนสู้คดีให้กับมือปืน ตั้งแต่ตำรวจยังไม่รู้ตัวมือปืนด้วยซ้ำ
5 วันหลังเกิดเหตุ ในวันที่ 9 ธันวาคม 2024 พนักงาน McDonald’s ที่รัฐเพนซิลวาเนียก็ได้แจ้งเบาะแสกับเจ้าหน้าที่ว่า มีบุคคลมีรูปพรรณคล้ายมือปืนมานั่งกินที่ร้าน และเจ้าหน้าที่ก็ได้ทำการจับกุมมือปืน Gen Z วัย 26 ปีนามว่า Luigi Mangione ซึ่งเป็นคนขาวอเมริกันหน้าตาดีมีภูมิหลังจากครอบครัวร่ำรวย เรียนโรงเรียนเอกชน จบมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับ Ivy League และมีหน้าที่การงานเป็นวิศวกรข้อมูลของบริษัทไอที
ปกติเรื่องราวน่าจะจบลงแล้ว แต่อย่างที่ว่า การ "สนับสนุนมือปืน" เกิดมาตั้งแต่สาธารณชนยังไม่รู้ว่า ใครคือมือปืน แต่พอยิ่งรู้ว่าเป็นคนรุ่นใหม่การศึกษาดี แถมยังหน้าตาดี ก็แน่นอนว่าทั้งหมดยิ่งไปกันใหญ่ และถ้าใครดูมีมอินเทอร์เน็ตในช่วงครึ่งแรกของเดือนธันวามคม 2024 ก็จะเห็นว่ามีมเทไปในทางเดียวกันหมด คือ "เชียร์มือปืน" ผู้นี้ และก็ไม่ใช่แค่ในอินเทอร์เน็ต บนท้องถนนคนก็ไปพ่นกำแพงเต็มไปหมดด้วยข้อความ Deny, Defend, Depose เพื่อเป็นการสนับสนุนสิ่งที่มือปืนผู้นี้ทำ
หรือพูดง่ายๆ นี่เป็นภาวะที่สาธารณชนอเมริกันเชิดชู "ฆาตกร" อย่างเปิดเผย
บางคนอาจบอกว่านี่เป็นเรื่องปกติ เพราะสังคมอเมริกันบ้าความรุนแรงอยู่แล้ว และสิ่งที่เกิดขึ้นนี้มันก็เป็น "อเมริกาโอนลี่"
ภาพจาก reddit.com
ภาพจาก reddit.com
Social Bandits หรือ 'โจรเพื่อสังคม' ฮีโร่ของผู้ถูกกดขี่
แต่เราก็อาจต้องถามว่า เคสที่เกิดขึ้นในอเมริกาล่าสุดต่างหรือไม่จากการที่คนอังกฤษเชิดชู Robin Hood? คนเม็กซิกันเชิดชู Pancho Villa? คนญี่ปุ่นเชิดชู Ichikawa Goemon? คนออสเตรเลียเชิดชู Ned Kelly? ซึ่งถ้าเราคิดว่ามันเป็นเรื่องเดียวกัน มันก็จะนำมาสู่คอนเซ็ปต์ทางวิชาการที่เรียกว่า "โจรเพื่อสังคม" หรือ Social Bandits
คอนเซ็ปต์นี้สร้างขึ้นมาโดยนักประวัติศาสตร์มาร์กซิสต์ชาวอังกฤษชื่อดัง Eric J. Hobsbawm ผ่านงานศึกษาของเค้าที่พบว่า ปรากฎการณ์คนธรรมดาเชิดชู "โจร" เป็นเรื่องปกติมากในประวัติศาสตร์ แต่เงื่อนไขที่สำคัญก็คือ โจรที่จะได้รับการเชิดชูนั้นไม่ใช่โจรเฉยๆ แต่ต้องมี "คุณธรรม" หรือให้ตรงก็คือโจรที่ว่าต้องเป็น "ส่วนหนึ่ง" ของเหล่าชนชั้นผู้ถูกกดขี่ โดยจะมีจริยธรรมชัดเจนว่าจะไม่มา "ปล้น" หรือก่ออาชญากรรมใดๆ กับกลุ่มผู้ถูกกดขี่ในสังคม แต่กลับกันคือ จะไปก่ออาชญากรรมต่อชนชั้นผู้กดขี่โดยเฉพาะ
จะเรียกว่านี่คือ "โจรที่มีสำนึกทางชนชั้น" ก็พอจะได้ แต่ศัพท์เทคนิคในทางวิชาการที่ใช้เรียกคนกลุ่มนี้ก็คือ "โจรเพื่อสังคม" หรือ Social Bandit นั่นเอง
แต่ทำไมสิ่งเหล่านี้ถึงดำรงอยู่?
ถ้าจะพูดแบบโรแมนติกก็คือ ตราบใดที่ในสังคมยังมีกลุ่มคนที่ถูกกดขี่ "โจรเพื่อสังคม" ก็จะเกิดขึ้นเพื่อ "ทวงความยุติธรรม" ผ่านกิจกรรมทำนอง "ปล้นคนรวย ช่วยคนจน" และที่นักวิชาการต้องเข้าใจสิ่งเหล่านี้ก็เพราะ ความต่างของ "โจรเพื่อสังคม" กับ "โจร" ทั่วไปคือ โจรทั่วไป ทุกองคาพยพของสังคมจะมองว่าเค้าเป็น "โจร" หมด แต่ถ้าเป็น "โจรเพื่อสังคม" ไปถามชนชั้นนำ พวกเค้าจะบอกว่านี่คือ "โจร" แต่ไปถามคนทั่วไปหรือผู้ถูกกดขี่ พวกเค้าจะบอกว่านี่คือ "ฮีโร่" และการเป็นโจรในสายตาผู้กดขี่และเป็นฮีโร่ในสายตาของผู้ถูกกดขี่นี้ ก็ถือว่าเป็นคุณลักษณะพื้นฐานที่สำคัญมากๆ ของการที่เราจะบอกว่าใครคนหนึ่งเป็น "โจรเพื่อสังคม"
เหตุใด "โจรเพื่อสังคม" ยังเกิดขึ้นในโลกยุคหลังสมัยใหม่ในศตวรรษที่ 21
กลับมาที่เคสของ Luigi Mangione เราก็จะเห็นว่าเค้าเข้านิยาม "โจรเพื่อสังคม" แบบชัดๆ
แต่คำถามต่อมาก็คือ แล้วทำไมมันถึงเกิด "โจรเพื่อสังคม" ขึ้นมาได้ในศตวรรษที่ 21 ที่ระบบทุกอย่างมันไม่ใช่แค่เป็นสมัยใหม่ แต่เป็น "หลังสมัยใหม่" ไปไม่รู้กี่รอบแล้ว
ถ้าตามทฤษฎีมาร์กซิสต์ การหายไปของโจรเพื่อสังคม จะเกิดขึ้นต่อเมื่อกลุ่มคนผู้ถูกกดขี่สามารถรวมตัวกันและเรียกร้องเพื่อผลประโยชน์ของผู้ถูกกดขี่ หรือขึ้นมาท้าทายผู้กดขี่ได้ ซึ่งภาวะพวกนี้เกิดราวๆ ศตวรรษที่ 19 ที่เกิดขบวนการแรงงานระบบประชาธิปไตยขยายตัว ให้สิทธิคนระดับล่างของสังคมเข้ามาในระบบ ซึ่งรวมๆ มันก็ทำให้ "โจรเพื่อสังคม" หายไปอย่างยาวนาน เพราะกลุ่มผู้ถูกกดขี่มีแนวทางการต่อสู้เพื่อสิทธิที่อยู่ "ในระบบ" แบบมากมาย และไม่ต้องการ "โจร" ที่จะมาช่วยพวกเค้าต่อสู้แบบ "นอกระบบ"
กลับกัน การกลับมาของ "โจรเพื่อสังคม" ชี้ว่า "ระบบ" นั้นมีปัญหาในระดับ “เกินเยียวยา” มันชี้ว่ามีคนจำนวนมากในสังคมไม่มองอีกแล้วว่าวิธีการแสวงหา "ความยุติธรรม" แบบ "ในระบบ" นั้นจะนำไปสู่อะไรอีก ดังนั้น คนที่ทำอะไรแบบ "นอกระบบ" ก็เลยเริ่มได้รับคำยกย่อง
ซึ่งในเคสอเมริกา "ระบบสุขภาพ" มันก็มีปัญหาจริงๆ แต่ถามว่า มันมีปัญหาเพราะ "ระบบประกันขูดรีด" อย่างเดียวเหรอ? คำตอบคือ ไม่ใช่ ระบบประกันสุขภาพเอกชนของอเมริกาขูดรีดแน่นอน แต่อีกด้านไม่ว่าจะอุตสาหกรรมการรักษาพยาบาลและบริษัทยาในอเมริกานี่ก็ไม่เบาทั้งนั้น
อย่างที่หลายคนรู้ สหรัฐอเมริกาคือ ประเทศที่ยาต่างๆ แพงมากๆ และเรียกว่ารายได้ยาของโลกนี้ทั้งใบราวๆ ครึ่งหนึ่งเกิดจากอเมริกาประเทศเดียว โดยการคิดราคายาแพงหูฉี่นี่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการหิวกำไรของบริษัทประกัน แต่มันเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจตามปกติภายใต้ระบบทุนนิยมของบริษัทยา และผลรวมๆ ก็คือ อเมริกาเป็นประเทศที่บริษัทยารวย โรงพยาบาลรวย บริษัทประกันสุขภาพก็รวย แต่คนธรรมดาก็คือ “จน” และหมดตัวไปกับค่ารักษาพยาบาลแบบนับไม่ถ้วน
นี่คือเหตุแห่งความเกรี้ยวกราดระดับที่คนพากันออกมาเชียร์มือปืนแน่นอน แต่เราก็จะเห็นเช่นกันว่า ปัญหาอันซับซ้อนนี้ไม่มีทางจะแก้ได้โดยการสังหาร CEO บริษัทหนึ่งในเครือข่ายอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง แต่วิธีที่จะแก้ได้ก็คือการเปลี่ยนระบบประกันสุขภาพทั้งระบบให้มีลักษณะแบบเป็นประกันสุขภาพถ้วนหน้า แบบที่ประเทศพัฒนาแล้วแทบทั้งหมดในโลกมีให้บริการประชน แต่ประเทศที่รวยที่สุดในโลกประเทศหนึ่งอย่างสหรัฐอเมริกากลับไม่มี
ซึ่งถามว่าแบบนี้ต้องไปกดดันใคร? คำตอบคือ "นักการเมือง" ไม่ใช่ CEO ของบริษัทประกันหรือบริษัทยาอะไรที่ไหน เพราะนี่มัน "ปลายเหตุ" ทั้งนั้น
แน่ก็แน่นอน คนอเมริกันไม่ได้มองอะไรลึกล้ำแบบนี้ ดังนั้น เวลาเหตุนี้เกิดขึ้น คนที่ร้อนๆ หนาวๆ คือ พวกผู้บริหารบริษัทประกันสุขภาพอื่นๆ ที่มีการทยอยให้ลบชื่อลบรูปตัวเองออกจากเว็บไซต์ ซึ่งก็บอกเลยว่า ต่อให้ทุกคนโดนลอบสังหารหมด ระบบประกันสุขภาพอันเลวร้ายของอเมริกาก็จะไม่เปลี่ยน แต่คนที่จะรวยขึ้นน่าจะเป็นพวกบริษัทรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญมากกว่า
อ้างอิง
Eric J. Hobsbawm, Bandits, (Middlesex: Pelican Books, 1972 [1969])
'Social banditry': Why many Americans are celebrating killing of a CEO
People Are Sharing Pictures Of "Deny, Defend, Depose" Signs And Graffiti They've Seen In Public, And It's Shocking
Luigi Mangione and the Making of a Modern Antihero