ปลายปี 2565 “นิก” (นามสมมติ) เดินทางไปสิงคโปร์เพื่อเริ่มงานตำแหน่ง Planning Engineer ในบริษัทรับเหมาก่อสร้างสัญชาติญี่ปุ่นที่มีออฟฟิศอยู่ที่สิงคโปร์ นับเป็นโอกาสที่ดีมากสำหรับบัณฑิตป้ายแดงที่ได้ทำงานตรงสายในประเทศโลกที่หนึ่ง!
● Planning Engineer หรือวิศวกรวางแผน ทำหน้าที่วางแผนการทำงานต่าง ๆ ดูแลและติดตามความคืบหน้าของโครงการ นำระบบการติดตามที่มีประสิทธิภาพมาใช้ตรวจสอบการปฏิบัติตามกำหนดการและงบประมาณ |
จุดเริ่มต้นสู่เกาะสิงคโปร์
เทอมสุดท้ายที่ภาควิชาโยธา คณะวิศวะจุฬาฯ มีพนักงานของบริษัทนี้ซึ่งเป็นศิษย์เก่ามาแนะแนวและรับสมัครงานถึงที่ ‘นิก’ ก็รีบทำเรซูเม่และสมัครไป แล้วบริษัทก็เรียกสัมภาษณ์ 2 รอบ และสอบข้อเขียนวัดความรู้ตั้งแต่ ปี 1-4 ซึ่งเขาต้องรื้อฟื้นความจำอย่างหนัก แต่นิกก็ผ่านการคัดเลือกในที่สุดและได้เซ็นสัญญาจ้างทันที หัวหน้าบอกนิกในภายหลังว่า เขาโดดเด่นจากผู้สมัครคนอื่นตรงที่มีความพร้อมที่สุดและสามารถเข้ากับคนอื่นได้ดี
นิกเล่าว่าวิธีการหางานออฟฟิศในสิงคโปร์ หลัก ๆ ทำได้ 2 วิธี วิธีแรก คือ การสมัครกับบริษัทโดยตรง ซึ่งค่อนข้างยาก เพราะตลาดแรงงานในสิงคโปร์เฟ้อ มีคนเยอะ การแข่งขันสูง แต่งานน้อย ส่วนวิธีที่สอง คือ ทำงานในบริษัท multinational ที่ไทยสักระยะหนึ่ง แล้วทำเรื่องย้ายมาสาขาสิงคโปร์ เช่น Shopee, TikTok ที่มีคนไทย relocate / transfer มาที่สิงคโปร์จำนวนมาก
● multinational company คือ บริษัทข้ามชาติ มีสาขาในหลายประเทศ และมีความหลากหลายทางเชื้อชาติสูง
คือ การย้ายไปทำงานอีกสาขาหนึ่งของบริษัทเดียวกัน เช่น Shopee Thailand ย้ายไป Shopee Singapore ซึ่งตำแหน่งงาน ค่าตอบแทน และสวัสดิการขึ้นอยู่กับสาขาที่ย้ายไป |
สิงคโปร์มีกฎหมายให้แต่ละบริษัทจ้างพนักงานสิงคโปร์และพนักงานต่างชาติ ในอัตราส่วน 3:1 (ขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจ) ทำให้บริษัทไม่สามารถจ้างใครก็ได้ แม้เราจะเป็นผู้สมัครงานที่เหมาะสมมาก เป็นคนที่บริษัทตามหา แต่ถ้าบริษัทไม่มีโควตาจ้างต่างชาติ เขาก็จ้างเราไม่ได้ ดังนั้น นอกจากสกิลแล้ว การจะได้งานยังขึ้นอยู่กับจังหวะและเวลาอีกด้วย
หลังจากบริษัทตอบรับเข้าทำงาน บัณฑิตใหม่ก็รีบไปตรวจสุขภาพ และเตรียมเอกสารตามที่บริษัทขอ ซึ่งรวมถึงที่พักในสิงคโปร์ด้วย นิกหาห้องพักผ่านกลุ่มเฟสบุ๊กต่าง ๆ มาลงตัวที่คอนโดย่าน Toa Payoh แชร์กับพี่คนไทยอีก 2 คน แล้วบริษัทก็จัดการเรื่องวีซ่าทำงาน, Work Permit (ใบอนุญาตทำงาน) กับ MOM (Ministry of Manpower กระทรวงแรงงานสิงคโปร์) อะไรต่ออะไรให้หมด ระหว่างรอวีซ่า นิกก็เรียนรู้โปรแกรมทำงาน ไปเที่ยวเล่น ใช้เวลากับครอบครัว เพื่อน และคนรักให้เต็มที่ เพราะคงไม่ได้เจอกันบ่อย ๆ ผ่านไป 1 เดือนทุกอย่างก็พร้อมแล้ว จองตั๋วไปสิงคโปร์กันเลย!
สิงคโปร์มีกฎหมายให้แต่ละบริษัทจ้างพนักงานสิงคโปร์และพนักงานต่างชาติ ในอัตราส่วน 3:1 (ขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจ) ทำให้บริษัทไม่สามารถจ้างใครก็ได้ แม้เราจะเป็นผู้สมัครงานที่เหมาะสมมาก เป็นคนที่บริษัทตามหา
ทำงาน ทำงาน ทำงาน
วันจันทร์ถึงวันศุกร์ นิกตื่น 7 โมงเช้า ลุกมาอาบน้ำแต่งตัว กินข้าวเช้าง่าย ๆ เช่น ขนมปังทาแยมกับกาแฟสักแก้ว หรืออาหารที่ซื้อเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อวาน เสร็จแล้วก็เดินไปขึ้นรถประจำทางหน้าปากซอย นั่งประมาณ 15 นาทีก็ถึงที่ทำงาน เริ่มทำงาน 8.30 น. พักเที่ยงก็ลงมากินข้าวที่ศูนย์อาหาร หรือร้านอาหารในตึก กินขนมหวาน และขึ้นไปนอนกลางวันที่โต๊ะ บ่ายโมงตรงก็เริ่มทำงานของช่วงบ่าย 17.30 เริ่มเก็บของเตรียมตัวกลับบ้าน แต่นิกรอให้หัวหน้าลุกก่อน เพราะพนักงานในออฟฟิศส่วนมากเป็นคนญี่ปุ่นที่เคารพระบบอาวุโสในที่ทำงาน กว่าจะได้ออกจากออฟฟิศจริง ๆ ก็ 6 โมงเย็น นิกมักกินข้าวเย็นที่ตึกทำงานเลย ถ้าวันไหนไม่มีนัดกับเพื่อน ๆ ต่อ นิกก็กลับบ้านไปออกกำลังกาย เช่น ว่ายน้ำ วิ่ง ทำงานบ้าน อาบน้ำ นอนเล่นโทรศัพท์ โทรคุยกับแฟน และเข้านอนราว 5 ทุ่ม
ในปีแรกของการทำงาน หลังจากทำงานที่ออฟฟิศได้ระยะหนึ่ง นิกก็ถูกส่งไป ไซต์งานก่อสร้าง ดูแลการก่อสร้างให้เป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ โดยรับหน้าที่หลักในการสั่งคอนกรีตมาเท ใครต้องการคอนกรีตก็ต้องมาติดต่อนิกเพื่อวางแผนสั่งซื้อและจัดส่งให้ทันเวลา เป็นงานที่กดดันมาก เพราะต้องบริหารทั้งงานและความสัมพันธ์กับวิศวกรต่าง ๆ และคนงานมากมาย นิกไม่มีความสุขเลย คิดอยู่ตลอดว่า “เรามาทำอะไรที่นี่” งานก็เครียด เริ่มเช้าเลิกดึกแถมต้องทำงาน 6 วันต่อสัปดาห์ และใช้เวลาเดินทางไปกลับร่วม 2 ชั่วโมง พอกลับถึงบ้านก็ดึกและเหนื่อยเกินกว่าจะทำอะไร เมื่อได้กลับมาทำงานออฟฟิศจึงรู้สึกดีใจมากเหมือน “ได้ชีวิตคืนมาอีกครั้ง” แต่ก็ยังแอบคิดถึงการทำงานที่ไซต์บ้าง เพราะได้เรียนรู้หน้างานจริง ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่หาไม่ได้จากโต๊ะในออฟฟิศ
● สายงานบริการและก่อสร้างที่สิงคโปร์ ทำงาน 6 วันต่อสัปดาห์ โดยหยุดแค่วันอาทิตย์ บางโครงการก่อสร้างก็ทำงาน 7 วัน โดยที่วันอาทิตย์เลิก 17.30 น. |
นิกใช้ภาษาอังกฤษแทบจะตลอดเวลา ตอนแรกก็ฟัง Singlish หรือภาษาอังกฤษสไตล์สิงคโปร์ไม่ค่อยออก แต่อยู่ไปเรื่อย ๆ คุยกับคนงานในไซต์ก่อสร้างทุกวันก็ฟังคล่อง แถมเริ่มพูด Singlish ได้ด้วย ยิ่งเหมือนคนสิงคโปร์เข้าไปทุกวัน แต่ภาษาไม่ใช่ปัญหาหลักของการทำงานในสิงคโปร์ อุปสรรคจริง ๆ คือวัฒนธรรมการทำงาน เช่น เพื่อนของนิกทำงานในบริษัทสัญชาติจีนที่มีค่านิยมทำงานหนัก พนักงานส่วนมากพูดภาษาจีน ทำให้คนที่ไม่รู้ภาษาจีนไม่สามารถเข้ากับเพื่อนร่วมงานได้เต็มที่ ประชุมงานเป็นภาษาจีน โดนกีดกันทางภาษา และมีปัญหาเรื่องสภาพแวดล้อมในการทำงานตามมา แม้นิกจะไม่ประสบปัญหาดังกล่าวแต่ก็ลงเรียนภาษาญี่ปุ่นทุกวันเสาร์ เพราะเพื่อนร่วมงานจำนวนมากเป็นชาวญี่ปุ่น และหากสื่อสารภาษาญี่ปุ่นได้ก็เป็นผลดีกับเส้นทางอาชีพในอนาคต
● Singlish มาจาก Singaporean English มีลักษณะสั้น กระชับ ตรงไปตรงมา เพื่อให้คนสิงคโปร์ที่มีหลายหลายเชื้อชาติและภาษาสามารถสื่อสารกันได้ง่าย สำเนียงและไวยกรณ์คล้ายภาษาจีนกลาง เช่น You eat ready leh? (มาจาก Have you eaten already?) คล้ายกับ 你吃了吗?(หนี่ชือเลอมา) บางคำศัพท์ที่นิยมใช้ก็มาจากภาษามาเลย์ เช่น Wanna go makan? (ไปกินข้าวกันไหม) ใช้หลายภาษาผสมกันในการสื่อสาร เช่น Alamah, like that can ah? (โอ้ย อย่างงี้ก็ได้เหรอ) |
ภาษาไม่ใช่ปัญหาหลักของการทำงานในสิงคโปร์ อุปสรรคจริง ๆ คือวัฒนธรรมการทำงาน เช่น เพื่อนของนิกทำงานในบริษัทสัญชาติจีนที่มีค่านิยมทำงานหนัก พนักงานส่วนมากพูดภาษาจีน ทำให้คนที่ไม่รู้ภาษาจีนไม่สามารถเข้ากับเพื่อนร่วมงานได้เต็มที่ ประชุมงานเป็นภาษาจีน โดนกีดกันทางภาษา
ชีวิตหลังเลิกงาน
ช่วงแรกที่ยังไม่ค่อยมีเพื่อนที่สิงคโปร์ เลิกงานแล้วนิกก็จะกลับบ้าน บ้างก็ไปสำรวจเมืองและร้านอาหารใหม่ ๆ บางวันก็ไปปีนหน้าผาจำลองกับรูมเมท ซึ่งกลายเป็นกีฬาโปรดของเขาอยู่ช่วงหนึ่ง บางวันก็เล่นเกมส์ออนไลน์กับเพื่อนมัธยมหรือเพื่อนมหาวิทยาลัยถ้าเวลาว่างตรงกัน ชีวิตหลังเลิกงานของนิกจึงค่อนข้างเงียบเหงา ทำให้สิงคโปร์ที่ไม่ค่อยมีอะไรให้ทำมากอยู่แล้วยิ่งน่าเบื่อขึ้นไปอีก
เมื่อชีวิตเริ่มเข้าที่เข้าทาง มีกลุ่มแก๊งค์ที่สนิทจากการแนะนำโดยเพื่อนของเพื่อนให้รู้จักต่อ ๆ กัน มีการนัดกินข้าวหลังเลิกงาน ปาร์ตี้ห้องเพื่อน ตีแบด ตีเทนนิส ปั่นจักรยาน วิ่งมาราธอน ทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยกัน ทั้งวันธรรมดาและวันหยุด ล่าสุดก็กำลังจะไปเที่ยวปีนัง ประเทศมาเลเซียกับเพื่อน ๆ
ถ้าเพื่อนจากไทยมาเที่ยวสิงคโปร์ นิกก็จะอาสาพาไปเที่ยวหลังเลิกงาน หรืออย่างน้อยก็นัดกินข้าวด้วยกันสักมื้อเป็นธรรมเนียมที่เขายึดถือตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่ เพราะนอกจากจะได้กระชับความสัมพันธ์กับเพื่อนเก่าแล้ว การมาเยือนของเพื่อนเหมือนการเหยาะซีอิ๊วใส่โจ๊กจืด ๆ เติมรสชาติให้ชีวิตติดเกาะของนิกเลยทีเดียว
เพื่อนและความสัมพันธ์
ครอบครัวและแฟน นิกสบายใจหายห่วง เพราะทุกคนรักและสนับสนุนเส้นทางการเติบโตของนิก ผลัดกันบินไปเยี่ยมทุกวันหยุดยาว หรือวันสำคัญต่าง ๆ หาวันว่างไปเที่ยวด้วยกันหลายทริป วีดีโอคอลคุยกันทุกวัน แม้ตัวอยู่ไกล แต่ใจยังใกล้กันเสมอ วลี “สิงคโปร์ก็แค่หน้าปากซอย” นั้นไม่เกินจริง
ส่วนเพื่อนที่สิงคโปร์ นอกจากรูมเมทแล้ว ช่วงย้ายมาใหม่ ๆ นิกก็มีกลุ่มเพื่อนชาวสิงคโปร์ มาเลย์ ญี่ปุ่น ที่เล่นบาสเก็ตบอลด้วยกัน แต่เพราะความชอบและไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างจึงค่อย ๆ แยกย้ายกันไป พอเริ่มไปงานพบปะสังสรรค์ของคนไทยในสิงคโปร์ อย่างงาน Thai Networking หรือ Thai Night นิกก็รู้จักคนมากขึ้นจากการแนะนำโดยเพื่อนของเพื่อน เริ่มมีเพื่อนคนไทยวัยเดียวกัน กลุ่มที่นิกสนิทด้วย มีทั้งหญิงและชาย อายุ 25 - 35 โดยนิกเป็นน้องเล็ก ทุกคนเป็นวิศวกรคอมพิวเตอร์ในบริษัทดัง มีแค่นิกที่เป็นวิศวกรโยธา และพี่ผู้หญิงคนหนึ่งทำงานมาร์เก็ตติ้ง กลุ่มนี้นัดเจอกันบ่อย กินข้าวและตีแบดด้วยกันทุกสัปดาห์ บางคนก็เช่าห้องอยู่ด้วยกัน วันหยุดกลับไทยก็ยังนัดเจอกันที่ไทย เวลาที่เพื่อนหรือแฟนของใครมาเยี่ยมก็จะพามารู้จักเพื่อน ๆ ในกลุ่มด้วย เป็นแก๊งค์เพื่อนที่สนิทใจและทำให้การใช้ชีวิตที่สิงคโปร์ของนิกอบอุ่นและมีความสุข
เพื่อนที่ทำงานอย่าง “หัวหน้า” ชายวัย 50 กว่า ก็เป็นเพื่อนที่นิกกินข้าวเที่ยงด้วยแทบทุกวัน ช่วยโค้ชงานและเป็นไลฟ์โค้ชให้ด้วยในบางโอกาส เพื่อนร่วมงานส่วนมากก็เป็นวัยกลางคนหลากหลายสัญชาติ โชคดีที่ทุกคนน่ารักและเอ็นดูนิกเหมือนลูกหลาน บรรยากาศในออฟฟิศจึงราบรื่นและแฮปปี้ ใครไปเที่ยวหรือกลับบ้านเกิดก็จะซื้อขนมมาแจก พอเลิกงานทุกคนก็แยกย้ายกันไป บางคนก็ไปรับลูกที่โรงเรียน บางคนก็ไม่เคยรู้ชีวิตนอกออฟฟิศเลย ทุกคนแบ่งเวลาทำงานและชีวิตส่วนตัวอย่างชัดเจน ซึ่งนิกมองว่าเป็นเรื่องดี เพราะเมื่อทุกคนให้ความสำคัญกับการแบ่งขอบเขต ชีวิตก็สมดุล ความสัมพันธ์(กับเพื่อนที่ทำงาน)มั่นคง และไม่กระทบประสิทธิภาพในการทำงาน
ด้วยอัธยาศัยที่ดีของนิก ทำให้เขาพอจะรู้จักมักคุ้นกับป้าร้านข้าวที่ทำงาน คนขายอาหารใน hawker แถวบ้าน ร้านกาแฟ ที่ปีนหน้าผาจำลอง สนามแบดมินตัน แม้กระทั่งหมาและเด็ก ๆ ที่คอนโดฯ ในมุมมองของนิก คนสิงคโปร์อาจไม่ได้ยิ้มแย้ม เฟรนด์ลี่เท่าคนไทย แต่หากได้ทำความรู้จักและคุ้นเคยกันสักระยะหนึ่ง พวกเขาก็พร้อมที่จะมอบมิตรภาพดี ๆ ให้อย่างแน่นอน
● Hawker Center คือศูนย์อาหารชุมชน มักอยู่ใต้ตึกติดถนน หรือใต้ตึก HDB (Housing and Development Board โครงการที่อยู่อาศัยของรัฐบาล) |
ไม่เหมือนที่ฝันไว้
“งานหนัก จ่ายหนัก” เป็นคติในการทำงานที่สิงคโปร์ นิกเล่าถึงประสบการณ์ทำงานของเพื่อนคนไทยว่าการทำงานในบริษัททั่วไปในสิงคโปร์ หรือบริษัท multinational ชื่อดัง ที่นี่มีวัฒนธรรมการทำงานหนัก เข้างาน 9 โมงเช้า เลิกงาน 4 ทุ่ม เพื่อนร่วมงานพูดแต่ภาษาจีน ประชุมเป็นภาษาจีนทั้งที่สมาชิกในทีมเกินครึ่งไม่รู้ภาษาจีน หรือภาษาอื่น ๆ แล้วแต่ความหลากหลายของเชื้อชาติในบริษัท การทำงานที่นี่จึงต้องใช้แรงกายและแรงใจผสมความอดทนขั้นสูง แลกกับค่าตอบแทนที่สูง ซึ่งนายจ้างก็คาดหวังสูงตามไปด้วย นิกมองว่าการที่เงินเดือนเยอะ ไม่ได้แปลว่าเราต้องทำงานหนัก เราควรทำงานด้วยความยุติธรรมและนายจ้างต้องมีมนุษยธรรม แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่สามารถเป็นไปได้ง่ายดั่งใจหวัง สิงคโปร์จึงไม่ใช่ที่ทำงานที่ดีที่สุดในโลก ถึงกระนั้นบางคนก็รับได้ เพราะเงินที่มากพอสามารถนำไปใช้ชีวิตให้หายเหนื่อย และเยียวยาตนเองจากการทำงานหนักได้
ที่นี่มีวัฒนธรรมการทำงานหนัก เข้างาน 9 โมงเช้า เลิกงาน 4 ทุ่ม เพื่อนร่วมงานพูดแต่ภาษาจีน ประชุมเป็นภาษาจีนทั้งที่สมาชิกในทีมเกินครึ่งไม่รู้ภาษาจีน หรือภาษาอื่น ๆ แล้วแต่ความหลากหลายของเชื้อชาติในบริษัท การทำงานที่นี่จึงต้องใช้แรงกายและแรงใจผสมความอดทนขั้นสูง แลกกับค่าตอบแทนที่สูง
แม้เงินดี แต่ค่าครองชีพก็หนักเอาเรื่องเช่นกัน นิกเผยว่า เงินเดือนเริ่มต้นของนิกและเด็กจบใหม่ในสิงคโปร์คือ 3,500 - 4,000 สิงคโปร์ดอลลาร์ (ประมาณ 1 แสนบาท) เป็นจำนวนเงินที่สามารถเลี้ยงดูตัวเองได้ พอจะมีชีวิตที่ดี เช่าห้องเล็ก ๆ แชร์กับคนอื่น ได้ กินอิ่มครบ 3 มื้อ มีมื้อพิเศษได้บ้าง พอไปสังสรรค์กับเพื่อนได้ แต่เงินเก็บไม่เยอะ ส่วนมากหมดไปกับค่าที่พักและค่ากิน ไม่สามารถใช้ชีวิตหรูหรา งดเที่ยว งดช็อปปิ้ง “ไม่ได้มีอิสระขนาดนั้น” นิกเล่า แต่คนไทยที่ทำงานออฟฟิศที่นี่ส่วนมากจะตำแหน่งสูงแล้ว รายได้ก็จะสูงตาม ตัวเลือกการใช้ชีวิตก็มากขึ้น พี่ที่รู้จักคนหนึ่งสามารถเช่าห้อง duplex วิวสวยอยู่คนเดียวได้เลย สภาพความเป็นอยู่แปรผันตรงกับรายได้จริง ๆ
● ที่อยู่อาศัยในสิงคโปร์ unit หนึ่งมีหลายห้องนอน ผู้เช่าจะได้ห้องนอนเป็นส่วนตัว แต่ใช้ส่วนกลาง เช่น ห้องนั่งเล่น ห้องครัว ห้องน้ำ ร่วมกับผู้เช่า (roommate / housemate) คนอื่น ราคาประมาณ 900 - 1,500 สิงคโปร์ดอลลาร์ ขึ้นอยู่กับขนาด สภาพ และทำเลที่ตั้ง
คือ คอนโดมิเนียม 1 ห้อง ที่มี 2 ชั้น ชั้นที่ 2 อาจจะเป็นชั้นลอย ขนาดห้องเท่าเดิมแต่มีพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้น |
เมื่อพูดถึงสิงคโปร์ หลายคนคงจินตนาการภาพเมืองเล็กแต่เจริญ ทุกอย่างสวยงามสะอาดตา มีประสิทธิภาพ ผู้คนสามารถมีชีวิตที่ดีได้ แต่สำหรับนิก แรก ๆ ก็ใช่ แต่หลัง ๆ เริ่ม “เบื่อ” เพื่อน ๆ คนไทยก็ประสบปัญหาเดียวกัน บางคนที่อยู่สิงคโปร์มานานแล้วก็รู้สึก “ตัน” เหมือนเล่นเกมมาจนถึงด่านสุดท้าย ชีวิตจำเจ เนื้องานไม่ท้าทาย แม้จะรายได้ดีมีเงินเก็บ
แม้ค่ากินอยู่จะแพง แต่สิ่งที่นิกแปลกใจและชอบใจเกี่ยวกับสิงคโปร์มาก คือ ขนส่งสาธารณะที่ครอบคลุม และราคาถูก ทุกที่สามารถเดินทางถึงภายใน 15 - 60 นาที ด้วยรถไฟฟ้าใต้ดินหรือรถประจำทาง นิกเดินทางไปกลับที่ทำงาน 30 นาที ตกวันละ 2 สิงคโปร์ดอลลาร์ (ประมาณ 52 บาท) ซึ่งถูกมากเมื่อเทียบกับรายได้ แต่อยู่ไปเรื่อย ๆ ก็รู้สึกว่าใช้เวลานาน เช่น ระยะทางแค่ 3 กิโลเมตร ใช้เวลา 30 นาที ถ้ารีบก็มีแท็กซี่ หรือแอปพลิเคชันเรียกรถเป็นทางเลือก “ราคาแรง แต่ถ้าต้องใช้จริง ๆ ก็ไม่ได้อดตาย” นิกกล่าว
● ตั๋วโดยสารรถประจำทางทั่วประเทศ ราคา 1 - 2 สิงคโปร์ดอลลาร์ ตลอดสาย |
เมื่อพูดถึงสิงคโปร์ หลายคนคงจินตนาการภาพเมืองเล็กแต่เจริญ ทุกอย่างสวยงามสะอาดตา มีประสิทธิภาพ ผู้คนสามารถมีชีวิตที่ดีได้ แต่สำหรับนิก แรก ๆ ก็ใช่ แต่หลัง ๆ เริ่ม “เบื่อ” เพื่อน ๆ คนไทยก็ประสบปัญหาเดียวกัน บางคนที่อยู่สิงคโปร์มานานแล้วก็รู้สึก “ตัน” เหมือนเล่นเกมมาจนถึงด่านสุดท้าย ชีวิตจำเจ เนื้องานไม่ท้าทาย แม้จะรายได้ดีมีเงินเก็บ ชีวิตส่วนตัวแยกกับงานอย่างชัดเจน ทำงานหนักแต่ก็มีสวัสดิการที่ดี แต่การใช้ชีวิตที่นี่ก็ยังคงขาดสีสันและความตื่นเต้น รู้สึกเหมือนมีพร้อมทุกอย่างแต่ยังขาดบางสิ่งไป และต้องออกเดินทางตามหาต่อไป
ก้าวต่อไปสู่ชีวิตที่ดีกว่าเดิม
นิกชอบสิงคโปร์ คิดว่าเป็นที่ที่ดีในการใช้ชีวิตทุกช่วงวัย ตั้งแต่เกิดยันแก่ ทุกคนสามารถมีชีวิตที่ดีได้เพราะรัฐสวัสดิการที่ออกแบบมาเพื่อคุณภาพชีวิตของทุกคน ทั้งพลเมืองและชาวต่างชาติอย่างนิก แต่เขาไม่อยากอยู่ที่สิงคโปร์ตลอดไป ไม่คิดจะสมัคร PR ทั้งที่เป็นประโยชน์ในการทำงานและใช้ชีวิตที่นี่มากกว่าวีซ่าทำงานที่ถืออยู่ นิกวางแผนว่าเขาจะทำงานที่บริษัทปัจจุบันไปอีกสัก 5 ปี หรือจนกว่าจะรู้สึกว่าไม่มีอะไรที่สนใจให้เรียนรู้แล้ว จึงจะไปเรียนต่อ ป.โท หรือหางานใหม่ที่ท้าทายกว่าในต่างประเทศ
● PR ย่อมาจาก Permanent Resident คือ ชาวต่างชาติผู้อยู่อาศัยในสิงคโปร์ถาวร แต่ยังไม่ใช่พลเมืองสิงคโปร์ ผู้เป็น PR สามารถทำ CPF (Central Provident Fund) หรือเงินบำนาญหลังเกษียณได้ มีสิทธิเหมือนพลเมืองสิงคโปร์ ได้รับการรักษาพยาบาล จ่ายค่าเทอมลูกในราคาคนสิงคโปร์ ชาวต่างชาติที่มาทำงานในสิงคโปร์มักถือวีซ่าทำงานที่ขึ้นตรงกับบริษัท ถ้าหมดสัญญาและบริษัทไม่จ้างต่อ หรือต้องการย้ายงานจะต้องดำเนินการสมัครงานใหม่ตั้งแต่เริ่ม การเปลี่ยนมาถือ PR จึงเป็นการลดความเสี่ยง สามารถสมัครงานด้วยตนเอง เพิ่มโอกาสในการได้งานด้วยเพราะไม่ต้องให้บริษัทออกวีซ่าให้ แต่ PR มีเกณฑ์การให้ที่ยากมาก เช่น ต้องแต่งงานกับคนสิงคโปร์, อาศัยอยู่ในสิงคโปร์เป็นเวลานาน, เชี่ยวชาญในศาสตร์ที่หายาก หรือ สร้างคุณประโยชน์แก่ประเทศสิงคโปร์ เป็นต้น |
นิก และเพื่อน ๆ พนักงานออฟฟิศชาวไทยในสิงคโปร์ แทบไม่ไม่ใครคิดจะลงหลักฐานที่นี่เลย ทุกคนล้วนมองว่าสิงคโปร์เป็น “Stepping Stone” หรือ “Tax Break” สนามฝึกฝีมือ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ สร้างโปรไฟล์และฐานเงินเดือนที่ดี เพื่อเป็นเส้นทางที่มั่นคงและปลอดภัยสู่ประเทศอื่น ๆ อย่าง ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา หรือ “ที่ไหนก็ได้ที่เราอยากจะไป”
● ภาษีรายได้ของสิงคโปร์ คิดเป็น 10% ของรายได้ ซึ่งถูกกว่าประเทศโลกที่ 1 มาก (ออสเตรเลีย 30%, สหรัฐอเมริกา 30%, แคนาดา 50%) |
สิงคโปร์จึงเป็นหมุดหมายใกล้บ้านที่น่าสนใจ ได้ทั้งประสบการณ์ ได้ทั้งเงิน แม้ชีวิตจะจืดชืดไปบ้าง แต่หากมีโอกาสมาทำงานที่สิงคโปร์หรือประเทศอื่น ๆ นิกแนะนำให้รีบคว้าไว้ เพราะ “สังคมที่เห็นคุณค่าของคนทำงาน” จะทำให้เราสามารถมีชีวิตที่ดีและอนาคตที่สดใสแน่นอน
นิกชอบสิงคโปร์ คิดว่าเป็นที่ที่ดีในการใช้ชีวิตทุกช่วงวัย ตั้งแต่เกิดยันแก่ ทุกคนสามารถมีชีวิตที่ดีได้เพราะรัฐสวัสดิการที่ออกแบบมาเพื่อคุณภาพชีวิตของทุกคน ทั้งพลเมืองและชาวต่างชาติอย่างนิก แต่เขาไม่อยากอยู่ที่สิงคโปร์ตลอดไป
เอกสารอ้างอิง
● “4 Key Differences: Singapore PR vs. LTVP.” Singaporetopimmigration.sg, singaporetopimmigration.sg/key-differences-singapore-pr-vs-ltvp/. Accessed 15 May 2024.
● “Buying a Flat - Housing & Development Board (HDB).” www.hdb.gov.sg, www.hdb.gov.sg/residential/buying-a-flat.
● “Foreign Worker Quota and Levy Requirements.” Ministry of Manpower Singapore, www.mom.gov.sg/passes-and-permits/work-permit-for-foreign-worker/foreign-worker-levy/what-is-the-foreign-worker-levy.
● PM. “Understanding the Singapore Work Culture: Tips for Foreign Businesses.” BGC Singapore, 24 Apr. 2023, bgc-group.com/understanding-the-singapore-work-culture-tips-for-foreign-businesses/.
● “Singapore - Individual - Taxes on Personal Income.” Taxsummaries.pwc.com, taxsummaries.pwc.com/singapore/individual/taxes-on-personal-income#:~:text=Resident%20individuals%20are%20entitled%20to.
● “The Top Singlish Phrases You Must Know to Chat like a Local.” Honeycombers Singapore, 6 Nov. 2019, thehoneycombers.com/singapore/singlish-101/.
● Wong, Tessa. “The Rise of Singlish.” BBC News, 6 Aug. 2015, www.bbc.com/news/magazine-33809914.
● Yeo, Teresa Rebecca. “Singlish.” www.nlb.gov.sg, www.nlb.gov.sg/main/article-detail?cmsuuid=5d5de338-98c5-4a97-9b51-727e807d6507.