คงไม่ต้องปฏิเสธแล้วว่า ทศวรรษปัจจุบัน คือ "ทศวรรษของ AI” ที่ AI น่าจะไปเปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์ในทุกมิติ ตั้งแต่การศึกษายันการฉ้อโกงออนไลน์
ความสามารถในการ "สร้าง" ของ AI ในโลกดิจิทัลนั้น เข้าใกล้พระผู้เป็นเจ้าขึ้นเรื่อยๆ AI สามารถเนรมิตร วรรณกรรม งานวิจัย ภาพเขียน งานบันทึกเสียงดนตรี คลิปสั้น ไปจนถึง "โปรแกรมคอมพิวเตอร์" ต่างๆ และความน่าสะพรึงของสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความสามารถของ AI ที่พัฒนาเร็วมากทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ เท่ากับที่การที่มันแพร่กระจายไปในวงกว้างอย่างรวดเร็วระดับที่เรียกว่า "ควบคุมไม่ได้" ในทุกมิติ เนื่องจากเหล่า "เจ้าของ" AI พยายามจะเป็นเจ้าตลาดโดยให้คนใช้ฟรี หรือใช้ได้ในราคาถูกระดับต่ำกว่าต้นทุน ทั้งหมดเป็นไปเพื่อเป็น "เจ้าตลาด"
แน่นอน นี่ทำให้เกิดปัญหาทางการเมืองตั้งแต่เรื่องประชาธิปไตยไปจนถึงความมั่นคง แต่ตรงนี้เราอยากจะชวนคุยถึงการสร้าง "ปัญหาทางเศรษฐกิจ" ของ AI ในยุคนี้ ซึ่งหลักๆ คือ Generative AI ที่ผู้คนใช้มัน "สร้าง" สิ่งต่างๆ กันอย่างเสรีและเรียนรู้การประยุกต์ใช้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการให้ ChatGPT คิด Prompt แต่งเพลงให้บน Suno หรือการแนบรูปอ้างอิงไปให้ Gemini สร้างภาพที่เหมือนกับจินตนาการได้โดยง่าย
ระบบทั้งหมดเหมือนวันดีคืนดี "จักรกลสร้างสรรค์" ถูกเดินเครื่องเพื่อขยายดินแดนให้เหล่า "เจ้าที่ดินดิจิทัล" ที่ถ้าชีวิตผู้คนอยู่ "ออนไลน์" เกือบหมด เราน่าจะเรียกพวกนี้ว่า "เจ้าแผ่นดินดิจิทัล" มากกว่า เพราะทุกวันนี้ ไม่ใช่แค่บริษัทอย่าง Google และ Meta สามารถ "สั่งประหารชีวิต" ตัวตนออนไลน์ของเราได้แล้ว (ผ่านการลบบัญชีที่เราผูกกับทุกอย่าง) ถ้า AI จะเป็น "ปัจจัยการผลิตหลัก" ของวิถีการผลิตใหม่ที่จะเกิดในอนาคตอันใกล้ บริษัท Big Tech ที่มีเอี่ยวในการควบคุม AI ทั้งทางตรงและอ้อม ควรจะถูกเรียกว่า "เจ้าแผ่นดินดิจิทัล" มากกว่า "เจ้าที่ดินดิจิทัล" เพราะอำนาจมันมหาศาลล้นพ้นระดับที่ใครจะหือก็ยาก
แน่นอน ความเปลี่ยนแปลงทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วในระดับที่ "ผู้สร้างสรรค์" ดั้งเดิมตั้งตัวไม่ทัน ไปไม่เป็น โดยเรื่องสยองขวัญล่าสุดของการเดินเครื่อง "จักรกลสร้างสรรค์" ตัวใหม่ คือมี "นักแสดง AI” ที่จะมา "แย่งงาน" นักแสดงจริงๆ แล้วอย่าง Tilly Norwood ในต้นตุลาคม 2025 และนี่ทำให้ทางนักแสดงฮอลลีวูดตั้งตัวกันไม่อยู่เลยทีเดียว ออกมาประนามกันยกใหญ่

Tilly Norwood
ปรากฏการณ์นี้แสดงให้เห็นว่า แม้แต่ความคิดว่าคนจะยอมดูหนังที่นักแสดงทั้งหมดเป็น "คนปลอมๆ" ที่สร้างมาจาก AI ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าขันหรือกระทั่งเกินจริงอีกแล้ว เพราะคำถามไม่ใช่ว่าเรื่องเหล่านี้จะเกิดหรือไม่อีกแล้ว แต่เป็นคำถามว่ามันจะเกิดขึ้นภายในกี่ปี
ไม่ใช่แค่นั้น จริงๆ ก่อนหน้านี้ การ "แย่งงาน" คนทำงาน "สร้างสรรค์" ด้วย AI แบบตรงๆ เน้นๆ ก็มีตั้งแต่การทำภาพสไตล์ลายเส้นดังๆ ที่ "นักวาด" ไม่พอใจกัน ไปจนถึงการเอาหน้าและเสียงดาราที่มีตัวตนจริงๆ มาทำคลิป ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่พอใจมาก และเคสแบบนี้มีมาเรื่อยๆ ตั้งแต่คนเป็นอย่าง Scarlett Johansson ถึงดาราผู้ล่วงลับอย่าง Robin Williams
นี่คือภาวะอนาธิปไตยของ AI แท้ๆ ที่เหมือนใครอยากทำอะไรก็ทำ โดยใช้ "ช่องว่างของกฎหมาย" ให้เป็นประโยชน์ เพราะในทางเทคนิค ไม่มีกฎหมายอะไรในโลกที่เขียนถึงการประมวลผลของ AI ชัดๆ เนื่องจากกฎหมายทั้งหมดเขียนมาก่อนยุค Generative AI และตามหลักกฎหมายธุรกิจสมัยใหม่ ถ้ากฎหมายไม่ได้ห้ามเอาไว้ ก็ย่อมทำได้ หรือพูดง่ายๆ ปัญหาของ AI ในทางกฎหมายถ้าจะมี มันมีหลายชั้นมาก ตั้งแต่ชั้นการ "เทรนโมเดล" ไปจนถึงการ "ประมวลผลข้อมูล" แต่ประเด็นคือทุกขั้น แทบไม่มีกฎหมายใดๆ ในการกำกับอย่างเฉพาะเจาะจง โดยเฉพาะถ้าผู้ใช้ AI ไม่ทำการเผยแพร่สิ่งที่ตัวเอง "สร้าง" ออกมาอย่างเปิดเผย
ดังนั้น การกระทำใดๆ เกี่ยวกับ AI มันเลย "เอาผิดทางกฎหมาย" ยาก โดยเฉพาะในยุคที่แทบทุกชาติพยายามจะปรับกฎหมายให้เป็นมิตรกับ AI เพราะทุกคนคิดว่านี่จะเป็นทางออกจากหายนะทางเศรษฐกิจจากที่ทั้งโลกกำลัง "ถังแตก" อยู่
นี่ก็เลยทำให้หน้าที่ในการพยายามจะหยุดยั้ง AI โยนกลับไปที่ "อุตสาหกรรมบันเทิง" เพราะนั่นคือ "ปราการสุดท้าย" หรือเป็นอุตสาหกรรมกลุ่มเดียวที่พอจะมีเงินสู้กับ "เจ้าของ AI” ซึ่งคือเหล่าอุตสาหกรรมเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่รู้จักกันในนาม Big Tech ได้
หรือพูดง่ายๆ เหล่านักวาดรวมตัวกันฟ้อง Startup เล็กๆ อย่าง Stable Diffusion ว่าละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย AI โอกาสชนะยังพอมี แต่สำหรับคนทั่วไป หรือกระทั่งกลุ่มธุรกิจขนาดกลาง ถึงจะรวมตัวกันไปฟ้องละเมิดลิขสิทธิ์กับ Google แล้วชนะมันเป็นไปแทบไม่ได้
ดังนั้น ตรงนี้ในทางปฏิบัติ คนเลยลุ้นว่าถ้าบริษัทอย่าง Disney กล้างัดกับ Google หรือ OpenAI มันยัง "มีหวัง" จะสร้างบรรทัดฐานบางอย่างในกฎหมายปัจจุบัน
แต่ "ข่าวร้าย" คือ Big Tech ยิ่งใหญ่ว่านั้นมาก ระดับที่เรียกว่า "เจ้าแผ่นดินดิจิทัล" ได้อย่างสมศักดิ์ศรี และยิ่งใหญ่ระดับนี้ขนาด Disney ก็สู้ยาก
ตรงนี้เราอยากเริ่มก่อนว่าคดีบนฐานของตัวบทกฎหมายที่คลุมเครือ ตีความไปได้หลายทาง ถ้าสู้ในอเมริกา โดยทั่วไป "เงิน" ล้วนๆ ที่เป็นตัวกำหนดผล หรือพูดง่ายๆ คือ ถ้ามีปัญญาจ้างสำนักทนายที่เก่งเรื่องนั้นที่สุด โอกาสแพ้ยากมาก แต่นั่นหมายถึงต้องใช้เงินระดับมหาศาล
ตรงนี้เราอยากให้เห็นว่าขนาด "บริษัทด้านสื่อบันเทิงที่ใหญ่สุดอย่าง Disney ก็ยังถือว่า "เล็ก" มากถ้าเทียบกับ Big Tech แท้ๆ อย่าง Google
ถ้าเทียบตัวเงินรายได้ Google มากเป็นประมาณ 4 เท่าตัว (รายได้ต่อปี Disney ประมาณ 90,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่ Google ได้ประมาณ เกืบอ 400,000 ล้านเหรียญสหรัฐ) แต่ที่ต่างกันแบบคนละโลก มูลค่าบริษัทของ Disney ที่อยู่ในระดับ 200,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ของ Google คือเกือบ 3,000,0000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ Google "ใหญ่" กว่า Disneyเป็นประมาณ 15 เท่าตัว
ต้องเน้นว่า Disney คือ บริษัทสื่อบันเทิงที่ใหญ่ที่สุดในโลกแล้วยัง "เล็ก" กว่า Big Tech ขนาดนี้ พวกบริษัทบันเทิงอื่นไม่ต้องพูด มันไม่มีทางสู้กันได้ เอาง่ายๆ 3 บริษัทยักษ์ใหญ่ดนตรีโลก อย่าง Universal Music Group, Warner Music Group และ Sony Music Group เอามูลค่ามารวมกัน คือยังไม่ถึง 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือรวมกันยังไม่ได้ครึ่งของ Disney ยักษ์ใหญ่ทางดนตรี ถือว่าเล็กถ้าเทียบกับยักษ์ใหญ่ด้านภาพยนตร์ แต่ทั้งหมดรวมกัน ก็ยังเล็กกว่ายักย์ใหญ่ทางเทคโนโลยีอย่าง Google
ถ้าจะเปรียบเป็นสงคราม นี่ไม่ใช่นายทุนสู้กัน แต่มันคือเจ้าเมืองบ้านนอก ต่อสู้กับเจ้าแผ่นดินระดับจักรพรรดิ์ มันไม่มีทางสู้กันได้
ดังนั้น แทบไม่ต้องพูดว่าถ้าซัดกันตัวต่อตัว พวกบริษัทสื่อบันเทิงเก่า สู้กับ Big Tech ไม่ได้เลย กระดูกคนละเบอร์มากๆ และนี่ยังไม่ต้องพูดว่า Big Tech ที่มีผลประโยชน์ด้่าน AI ร่วมกันนั้นก็ร่วมมือกันอีก เม็ดเงินมันคนละโลก
แต่ Big Tech ไม่นิยมสู้เพื่อให้ชนะทางกฎหมายอะไรพวกนี้ แต่พูดง่ายๆ คือ Big Tech จะใช้อำนาจของตน "บังคับซื้อใบอนุญาติ" ด้านลิขสิทธิ์ในราคาที่ตัวเองต้องการ
พูดอีกแบบ ยุคของ AI มันทำให้ บริษัทที่ผลิต AI สร้างตลาดข้อมูลแบบมีผู้ซื้อน้อยรายได้ และทำให้ผู้ซื้อพวกนี้มีอำนาจระดับ "กำหนดราคา" ของข้อมูลใดๆ ก็ตาม (ไม่ว่าจะอ้างว่ามีลิขสิทธิ์ได้หรือไม่)
อันนี้ต้องบอกเลยว่า เคสมันตรงกันข้ามกับ Spotify ที่ขายแคตตาล็อคเพลงของ Universal Music Group, Warner Music Group และ Sony Music Group แพลตฟอร์มจะดำเนินการไม่ได้ มันเลยทำให้ "อำนาจต่อรอง" ของ 3 ยักษ์ใหญ่จากโลกเก่ามีสูงมากในโลกสตรีมมิ่งงานดนตรี หรือพูดง่ายๆ Spotify ทำยังไงก็ได้ให้ 3 บริษัทที่ถือลิขสิทธิ์เพลงค่อนโลกเอาเพลงมาลงสตรีมในแพลต์ฟอร์มตัวเอง ทั้ง 3 บริษัทเลยเล่นตัวได้ โดยทุกวันนี้เป็นที่รู้กันว่ารายได้ของ Spotify ประมาณ 70% นั้นคือต้องจ่ายให้เหล่า "เจ้าของลิขสิทธิ์" หมด ซึ่งจริงๆ คือเยอะมาก (ที่ศิลปินได้จาก Spotifyน้อย เพราะพวก "ค่ายเพลง" หัก "ค่าหัวคิว" ไปหมด)
แต่ในเคสของ AI พวกบริษัท AI ทั้งหมดดูดข้อมูลทุกอย่างจากทั้งโลกแบบ "ฟรีๆ" มาทำ AI เพราะมันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติมาช้านานว่าคุณสามารถเอาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตมา "ประมวลผล" ได้โดยไม่ต้องขอใครหรือจ่ายเงินให้ใคร
นี่เลยทำให้ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์สื่อบันเทิงหรือสื่อสร้างสรรค์ใหญ่แค่ไหน คุณ "เล็ก" เสมอเมื่อเทียบกับ "ข้อมูลทั้งหมด" ที่ถูกนำมาเทรน AI หรือพูดง่ายๆ ถ้า Spotify ดีลกับ Universal เพื่อเอาเพลงมาลงไม่ได้ แพลตฟอร์มมีแนวโน้มจะเจ๊ง แต่เพราะลิขสิทธิ์เพลงดังเกือบครึ่งโลกอยู่ในมือ Universal
กลับกัน ถ้า Google และ OpenAI ดีลกับ Disney ไม่ได้ มันไม่มีอะไรเปลี่ยน ChatGPT และ Gemini รวมถึงโมเดลย่อยๆ ทั้งหมดยังทำงานของมันไปได้ แต่ Disney เองนี่แหละที่จะ "ตกขบวน" เพราะถ้าคนมัน "เจน" ภาพดิสนีย์ไม่ได้ มันก็ไป "เจน" ลายเส้นอื่น และลายเส้นอื่นๆ ก็จะมีที่ทางในอาณาจักรของพวก "เจ้าแผ่นดินดิจิทัล" จนคนหลงลืม Disney ไปในระยะยาว
ภาวะนี้จะเกิดขึ้น เว้นแต่ Disney จะมั่นใจว่าจะสร้าง "อาณาจักร" ของตัวเองได้ การไปสวามิภักด์กับเหล่า Big Tech ที่เป็น "เจ้าแผ่นดินดิจิทัล" คือทางเดียว และ "เจ้าแผ่นดินดิจิทัล" อาจโยนดีลยอดแย่ให้ยอมรับเพื่อให้ AI ของตนใช้เนื้อหาของบริษัทบันเทิงเก่าอย่าง Disney มาเทรน AI ได้เสรี แต่ฝั่งบริษัทบันเทิงเก่าก็ต้องก้มหน้ายอมรับ เพราะทางเลือกมันไม่ได้มีเยอะ เจ้าแผ่นดินดิจิทัลต้องการคุณมาช่วยงานในอาณาจักร ถ้าคุณปฏิเสธงาน เค้าก็แค่เอาคนอื่นมาแทนคุณ เพราะคุณไม่ได้สำคัญขนาดนั้นในอาณาจักรอันไพศาลนี้
พูดง่ายๆ ที่เราเห็นตอนนี้คือ การที่บริษัทบันเทิงเก่าไปดีลกับบริษัท AI ไม่ได้เพื่อจะฟ้องแล้ว แต่ไปขอส่วนแบ่ง ซึ่งจากมุมบริษัททำ AI การมี "ดีล" พวกนี้ไม่ได้เอาไว้เป็นไม้กันหมา การใช้เนื้อหาเก่าๆ มาเทรน AI เท่านั้น แต่ยังหมายถึงการเข้าถึงเนื้อหาใหม่ๆ ก่อนด้วย เช่น สมมติหนังเรื่องใหม่จะเข้าโรง แล้วทำตลาดไวรัลจนดัง คนอาจจะ "เจน" ภาพเป็นพระเอกนางเอกกัน ถ้ามีดีลสตูดิโอก็ส่งให้มูลให้ทางบริษัท AI ที่มีดีลอยู่เทรนเลยก่อนจะทำแคมเปญ และตัว AI ของบริษัทที่มีดีลกันนั้นก็จะ "เจน" ภาพได้ดีที่สุด ตอนที่หนังเริ่มโปรโมตหรือออกฉาย คนก็จะแห่กันมาใช้ AI ของบริษัทดังกล่าว ทำให้บริษัทของเจ้าแผ่นดินดิจิทัลมียอดผู้ใช้ AI เพิ่ม และแคมเปญโปรโมตหนังก็เวิร์คไปพร้อมกัน วิน-วินทั้งสองฝ่าย และในแง่นี้ เราจะเห็นเลยว่า "ดีล" นั้นจริงๆ ไม่ใช่ดีลด้านลิขสิทธิ์ เท่ากับดีลการเข้าถึงข้อมูลก่อนชาวบ้าน เพื่อมาเทรน AI ของตัวเองให้เก่งกว่าชาวบ้าน เป็นต้น
พูดง่ายๆ ในยุค AI ลิขสิทธิ์มันแทบจะไม่ใช่เรื่องที่เป็น "ตัวกำหนด" ทิศทางการผลิตงานสร้างสรรค์ในภาพใหญ่อีกต่อไปแล้ว เพราะ "ผู้ถือลิขสิทธิ์" แม้แต่เป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุด ก็ถือว่าไร้อำนาจต่อหน้า "เจ้าแผ่นดินดิจิทัล" ที่เป็นเจ้าของแพลตฟอร์ม AI ต่างๆ (ถ้าสงสัยว่าพวก "สำนักพิมพ์" นี่มูลค่าตลาดขนาดไหน เอาง่ายๆ คือสำนักพิมพ์ ที่เป็น "Big 5” ของโลก มูลค่าบริษัทรวมกันหมดยังไม่ถึง 1 ใน 10 ของ Disney และนั่นคือเอามูลค่าสำนักพิมพ์ที่ใหญ่สุดในโลกมาเทียบกับ Big Tech อันแรกมันจะดูเหมือน "ฝุ่น" หรืออนุภาคอะไรเล็กๆ เท่านั้น)
ดังนั้น ลิขสิทธิ์คนทั่วไปก็ไม่ต้องพูดถึง ทุกคนทำอะไรไม่ได้นอกจากมาบ่นในเน็ตไปวันๆ ราวกับว่าความยุติธรรมจะบังเกิดจากการบ่นไปเรื่อยๆ
แต่ถามว่าอะไรพวกนี้ประหลาดมั้ย? คำตอบคือ ไม่ เพราะเราต้องไม่ลืมว่ากฎหมายลิขสิทธิ์ในยุคแรก มันเกิดมาเพื่อให้อำนาจผูกขาดเพื่อสร้างระเบียบการผลิตในยุคแรกของเทคโนโลยีผลิตซ้ำ อย่าง "แท่นพิมพ์" พื้นฐานกฎหมายพวกนี้ไม่ได้ใส่ใจผู้สร้างสรรค์เท่ากับต้องการสร้าง "สิทธิผูกขาด" ที่ชัดเจนในการพิมพ์งาน ในพื้นที่และเวลาหนึ่งๆ เพื่อให้การทำธุรกิจมันมีระเบียบบางอย่าง
ที่เป็นแบบนี้เพราะในยุคโน้น "ต้นฉบับ" คือ งานสร้างสรรค์ที่มีค่า สร้างมาได้ยาก ใครจะ "ผลิตซ้ำ" ได้ต้องมีความชัดเจน ศาลจะมานั่งตัดสินเป็นรายคดีแบบสมัยก่อนหน้าจะมีกฎหมายพวกนี้ไม่ได้
แต่ในยุคของ Generative AI “ต้นฉบับ" ไม่ได้มีค่าแบบเดิมอีกแล้ว เพราะมันถูกสร้างขึ้นใหม่ได้อย่างว่องไวกว่าการที่เราเดินจากโต๊ะทำงานไปฉี่แล้วเดินกลับมาที่โต๊ะเสียอีก
ในบริบทแบบนี้ รูปแบบการผลิต (พูดแบบมาร์กซิสต์ก็ต้องเรียกว่า "พลังการผลิต") มันเลยเปลี่ยนไปหมด ดังนั้นกฎหมายที่กำกับ "ความสัมพันธ์ทางการผลิต" ก็ต้องเปลี่ยนตาม และนั่นไม่ได้น่าแปลกประหลาดอะไรที่กฎหมายลิขสิทธิ์ที่เป็นมรดกจากยุคก่อน แทบไร้น้ำยาในภาพใหญ่ของการผลิต "งานสร้างสรรค์" เพราะสุดท้ายมัน "ตกยุค" ไปแล้ว
พูดแบบปรัชญาประวัติศาสตร์ก็คือ "หน้าที่ทางประวัติศาสตร์" ของแนวคิดลิขสิทธิ์มันจบลงตั้งแต่ "จักรกลสร้างสรรค์" ของ "เจ้าแผ่นดินดิจิทัล" มันเริ่มเดินเครื่องแล้ว ต่อจากนี้ไปมีแต่ความตาย จะรู้ตัวหรือไม่ก็เท่านั้นเอง ซึ่งนักปรัชญาสุดกวนประสาทเท้าอย่าง Slavoj Zizek เคยเทียบภาวะ "สิ่งที่ไม่รู้ตัวว่าหมดหน้าที่ทางประวัติศาสตร์ไปแล้ว" ว่า เหมือนการ์ตูนสมัยก่อนที่จะมีมุกตลกนึงฮิตมาก คือมุกที่ตัวละครเดินเลยหน้าผาไปบนอากาศได้หน้าตาเฉย จนอยู่ดีๆ รู้ตัวว่าตัวเองเดินบนอากาศนั่นแหละ ถึงร่วงหล่นสู่เบื้องล่าง
ในยุคใหม่ของ AI เราก็คงจะเห็นความร่วงหล่นแบบนี้อีกมากมาย
อ้างอิง
Scarlett Johansson Says OpenAI Ripped Off Her Voice for ChatGPT
Robin Williams' daughter pleads for people to stop sending AI videos of her dad
Getty Images and Google Drama Ends in Partnership
Spotify paid out a record £7.7bn in royalties in 2024
อ่านบทความอื่นๆ ของผู้เขียน