Skip to main content

 

รอนนี่ อาเบอร์เกล ผู้อำนวยการห้องสมุดที่ใหญ่และสวยงามที่สุดในโลก ซึ่งก็คือ “ห้องสมุดมนุษย์” ในเมืองรอสกิลด์ ประเทศเดนมาร์ก ที่เปิดให้ยืม “มนุษย์” แทนหนังสือ เพื่อสนทนากันถึงเรื่องราวชีวิตอย่างเปิดกว้างและตรงไปตรงมา

รอนนี่บอกว่า “ห้องสมุด” เป็นหนึ่งในสถาบันไม่กี่อย่างที่เปิดรับ หรือให้พื้นที่กับทุกคน และปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียม ไม่ว่าจะเป็นคนหนุ่มสาวหรือคนแก่ชรา คนที่ร่างกายสมบูรณ์หรือผู้พิการ

กฎการใช้ห้องสมุดมนุษย์ของรอนนี่แสนเรียบง่าย คือ การปฏิบัติต่อหนังสือมีชีวิตด้วยความเคารพ นำพวกเขากลับมาคืนให้ตรงเวลาในสภาพเดิมหลังครบ 20 นาทีโดยที่ไม่มีร่องรอยตำหนิหรือเสียหาย และห้ามนำพวกเขากลับบ้าน ซึ่งรอนนี่บอกว่า หนังสือมีชีวิตพร้อมตอบทุกคำถามที่คุณกล้าที่จะถาม  

ห้องสมุดมนุษย์ เริ่มขึ้นจากผู้สื่อข่าวชาวเดนมาร์กเมื่อ 25 ปีที่แล้วในโคเปนเฮเกน และเป็นแรงบันดาลใจให้กับรอนนี่ในการทำห้องสมุดมนุษย์ของตัวเองที่เมืองรอสกิลด์ ซึ่งห่างจากโคเปนเฮเกนออกไปราว 30 กม.  

ก่อนที่จะมีโครงการห้องสมุดมนุษย์ ในปี 1993 ตอนที่รอนนี่อายุ 19 ปี เขาร่วมกับพี่ชายและเพื่อนอีกสองคน ทำโครงการชื่อ “หยุดความรุนแรง” หลังจากเพื่อนของพวกเขาถูกแทงเสียชีวิตที่ไนต์คลับแห่งหนึ่งในโคเปนเฮเกน แนวคิดของโครงการนี้คือ การสอนเยาวชนให้ใช้วิธีแก้ไขความขัดแย้งอย่างสันติ ซึ่งรอนนี่บอกว่า เมื่อมีคนหนึ่งถูกแทงจนตาย คนอื่นๆ ก็จะเกิดความกลัว และเวลาที่ออกไปข้างนอก พวกเขาก็จะพกมีดติดตัวไปด้วย

ปัจจุบัน “ห้องสมุดมนุษย์” มีอยู่ใน 80 ประเทศทั่วโลก ทั้งในเท็กซัส โตเกียว เบอร์ลิน กระทั่งที่บังคลาเทศ คนที่มาใช้บริการสามารถเลือกหัวข้อที่สนใจได้มากมาย เช่น เรื่องกีฬา ภาวะซึมเศร้า โรคมะเร็ง ผู้อพยพ ความเศร้าโศก และอื่นๆ รอนนี่บอกว่า เรื่องราวของหนังสือมีชีวิตแต่ละเล่มล้วนพิเศษเฉพาะตัวไม่เหมือนใคร

โจเอล ฮาร์ทโกรฟ หนึ่งในอาสาสมัครที่มาเป็นหนังสือมนุษย์ เขาเป็นอดีตทหารในกองทัพออสเตรเลียซึ่งได้รับบาดเจ็บ และมีอาการเจ็บปวดเรื้อรัง รวมถึงมีอาการซึมเศร้า เขามีรอยสักที่ดูน่ากลัวบนใบหน้าตลอดไปจนถึงลำคอ เพื่อกันไม่ให้ผู้คนมายุ่งวุ่นวาย ซึ่งก็ทำให้คนไม่อยากเข้าใกล้ แม้แต่เวลาที่เจอเด็กๆ พ่อแม่จะรีบหิ้วตัวลูกออกไปให้ห่างจากเขา

โจเอลได้รับการเทรนให้เป็น “ผู้สนทนา” เขามีนิสัยเปิดเผย ตรงไปตรงมา มีอารมณ์ขันที่สามารถพูดคุยแบบลึกๆ ได้ และสามารถพูดคุยเรื่องราวระหว่างที่เขาเป็นทหารในกองทัพออสเตรเลียได้

เช่นเดียวกับ อัลมา ฟาฮาม หนึ่งในหนังสือมีชีวิตที่มีเรื่องราวน่าสนใจ เธอเป็นสถาปนิกและศิลปินวาดภาพแนวแอบสแตรกต์ เธอเกิดที่คูเวต พ่อเป็นชาวซีเรีย แม่เป็นชาวจอร์แดน ย้ายไปอยู่ซีเรียในช่วงสงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งแรก จากนั้นก็ย้ายไปกรีซ  เธอตอบคำถามทุกข้อโดยไม่ลังเล รวมถึงเหตุผลส่วนตัวที่เข้าร่วมกิจกรรมของห้องสมุดด้วย

“ปัญหาคือ คนมักจะด่วนตัดสิน แค่คุณบอกว่า มาจากตะวันออกกลาง ผู้คนก็จะจับคุณใส่ไว้ในกรอบบางอย่าง สิ่งที่น่าเศร้าคือ ฉันกลับถูกมองว่าเป็น ‘คนต่างถิ่น’ ในบ้านเกิดของตัวเอง เพียงเพราะไปใช้ชีวิตต่างแดนนานเกินไป” อัลมา บอก

“อย่าด่วนตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอก” นี่คือสิ่งที่รอนนี่มักย้ำเสมอ

รอนนี่จะดูแลเพื่อทำให้ “หนังสือมนุษย์” ทุกคนได้รับการปฏิบัติอย่างเหมาะสม พวกเขาจะได้รับการฝึกฝนให้สามารถตอบคำถามที่ท้าทายได้ และตั้งขอบเขตการสนทนาให้ชัดเจน ในกรณีที่รู้สึกไม่ไหวก็สามารถถอนตัวออกมาได้ ห้องสมุดมนุษย์ของรอนนี่ มีพนักงานประจำ 25 คน และอาสาสมัครจากทั่วโลกอีกนับไม่ถ้วน นอกจากนี้ ยังมีนักจิตวิทยาคอยให้คำปรึกษาตลอดเวลา เพื่อให้หนังสือมนุษย์รับความช่วยเหลือได้ทุกเมื่อ หากการอ่านครั้งนั้นส่งผลกระทบทางอารมณ์ต่อพวกเขา

รอนนี่ตั้งกฎว่า ห้องสมุดมนุษย์ของเขาไม่อนุญาตให้คนที่มีพฤติกรรมก้าวร้าว มีวาระซ่อนเร้น หรือเข้าใจผิดว่าห้องสมุดนี้คือการบำบัดทางจิตมาใช้บริการ รอนนี่บอกว่า ถ้าจะมาที่นี่ด้วยเจตนาที่จะแก้แค้นใครบางคนหรืออะไรสักอย่าง หรือมาเพื่อชี้นิ้วโทษคนอื่น ก็ให้ไปที่อื่น ไม่ใช่ที่นี่

“มุมมองของผม คือ ในวันหนึ่งข้างหน้า เราไม่จำเป็นต้องมีห้องสมุดแบบนี้อีก เมื่อเรามีความกล้าพอที่พูดคุยกับผู้คนรอบตัว แต่วิถีชีวิตที่เร่งรีบแบบทุกวันนี้ ทำให้เราแทบไม่มีเวลาและโอกาสเลยที่จะทำแบบนั้นเลย” รอนนี่กล่าว

การจัดกิจกรรม “อ่านหนังสือมนุษย์” เป็นแบบฟรี โดยที่เจ้าภาพจัดงานจะรับผิดชอบเรื่องค่าเดินทางไปยังสถานที่จัดกิจกรรม เช่น โรงเรียน หรือที่อื่นๆ ส่วน “หนังสือมนุษย์” ทุกคนเป็นอาสาสมัครที่ไม่ได้รับค่าตอบแทน และโครงการนี้ก็ไม่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลด้วย


ที่มา
The Library Where the ‘Books’ Are Human Beings