Skip to main content

ผู้ประกอบการรายหนึ่งในรัฐวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา มีแผนที่จะช่วยลดความเสี่ยงจากไฟป่า และส่งเสริมการสร้างอาคารคาร์บอนต่ำ พร้อมกับยกระดับเศรษฐกิจท้องถิ่นไปด้วยกัน

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา “ไฟป่า” กลายเป็นปัญหาใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ที่หลายฝ่ายต่างช่วยกันหาทางออกและวิธีป้องกัน และวิธีการหนึ่งที่ รัสส์ วาเกน ค้นพบ คือ “การตัดต้นไม้”

รัสส์ เป็นลูกหลานรุ่นที่ 4 ของตระกูลที่ประกอบกิจการโรงเลื่อยในรัฐวอชิงตัน ในปี 1980 โรงเลื่อยของตระกูลได้รับความนิยมและสามารถทำรายได้อย่างมหาศาล พวกเขามีโรงเลื่อย 4 แห่งและพนักงานมากกว่า 500 คน แต่กฎหมายว่าด้วยการกำหนดการล่าสัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์ ส่งผลให้การตัดไม้ในที่ดินของรัฐลดลงตามไปด้วย ซึ่งส่งผลต่อรายได้ของโรงเลื่อยไม้ตระกูลวาเกน  นำไปสู่การปิดโรงเลื่อย 3 ใน 4 แห่ง และการเลิกจ้างพนักงานหลายร้อยคน

แม้กฎหมายดังกล่าวจะช่วยปกป้องสัตว์ป่าได้จริง แต่กลับไม่ได้ทำให้ผืนป่ารอดพ้นจากอันตราย เพราะผืนป่าขนาดใหญ่ยังคงเผชิญกับไฟป่า เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลให้อากาศร้อนและแห้งมากขึ้น ขณะที่พื้นที่ป่าในสหรัฐฯ เต็มไปด้วพืชพันธุ์ที่ติดไฟง่าย ผลที่ตามมาก็คือ ขนาดและความรุนแรงของไฟป่าที่เพิ่มมากขึ้นในหลายพื้นที่

รัสส์ เชื่อว่าสหรัฐฯ จำเป็นต้องเริ่มคัดเลือกและจัดการกับต้นไม้ขนาดเล็กบางส่วน การที่เขาคลุกคลีอยู่กับโรงเลื่อยมาตั้งแต่เด็ก จึงรู้ว่าต้องทำอย่างไรกับต้นไม้เหล่านี้ จึงทำให้เขาตัดสินใจขายหุ้นของเขาในธุรกิจโรงเลื่อยไม้ และเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองชื่อว่า Vaagen Timbers ซึ่งเชี่ยวชาญเรื่องการทำผลิตภัณฑ์ไม้ชนิดพิเศษ ที่เรียกว่า Mass Timber เป็นผลิตภัณฑ์ไม้ที่ผลิตได้จากต้นไม้ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางเล็ก แต่มีความแข็งแรงมาก และสามารถนำไปใช้สร้างตึกมากมายในหลายเมืองทั่วโลก เช่น โตเกียว และสตอกโฮล์ม เป็นต้น

นอกจากนี้ นักสิ่งแวดล้อมและเจ้าหน้าที่ของรัฐต่างก็มองว่า ไม้จำนวนมากที่ถูกแปรรูปให้เป็นชิ้นส่วนในการสร้างตึก จะช่วยจัดการกับปัญหาไฟป่าได้จริง เช่นเดียวกับที่เข้ามาแก้ไขปัญหาเรื่องการว่างงานในพื้นที่ชนบท และความต้องการวัสดุก่อสร้างคาร์บอนต่ำไปด้วยกันในคราวเดียว  

ไม้ชนิดพิเศษดังกล่าวได้รับการพัฒนาขึ้นในทวีปยุโรป มีความแตกต่างจากไม้แปรรูปที่ปกติจะใช้ทำโครงอาคารใหม่ แต่ผลิตภัณฑ์นี้ทำมาจากไม้หลายชั้นหรือเป็นเกลียว ซึ่งถูกอัดเพื่อเพิ่มความแข็งแรง ตัวอย่างเช่น แผงไม้ลามิเนตแบบขวาง (CLT) ที่เป็นแผ่นไม้ประกบกันด้วยการใช้กาวยึดติดและสามารถใช้เป็นผนัง พื้น และเพดานของอาคารได้ เป็นต้น

ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า วัสดุดังกล่าวมีผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมหรือปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณที่ต่ำ เนื่องจากไม้เป็นทรัพยากรหมุนเวียนและกักเก็บคาร์บอน ต่างจากคอนกรีตและเหล็กกล้า ซึ่งมีขั้นตอนการผลิตที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณมาก นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญยังระบุถึงข้อดีอีกหนึ่งประการของการใช้วัสดุไม้ชนิดพิเศษนี้ในการสร้างอาคารว่า สามารถทำขึ้นจากพื้นที่อื่น และนำมาประกอบเข้าด้วยกันได้ ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ทำให้การก่อสร้างอาคารสามารถทำได้รวดเร็ว สะอาด และมีประสิทธิภาพมากขึ้น

สิ่งที่ทำให้ธุรกิจของรัสส์มีความพิเศษ คือ การที่หลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ต่างช่วยกันทำหน้าที่ของตัวเอง เพื่อทำให้การผลิตไม้ชนิดพิเศษนี้เกิดขึ้นได้จริง ทั้งการให้สัมปทานบริษัทในการเลือกตัดไม้ในพื้นที่ป่า อย่างไรก็ตาม ก็มีหลายภาคส่วนที่ไม่เห็นด้วย และยื่นฟ้องหน่วยงานที่ให้อนุญาตธุรกิจเอกชนเข้าไปตัดไม้ แต่ศาลก็ตัดสินให้แพ้คดีความไป


อ้างอิง:
เว็บไซต์ Vaagen Timbers
How to Prevent Forest Fires by Building Cities With More Wood
Combining forest thinning and mass timber construction may reduce forest fires