“ธนาคารโลก” เผยผลวิเคราะห์ล่าสุด ระบุว่า เศรษฐกิจโลกได้เข้าสู่ทศวรรษแห่งความอ่อนแอ ซึ่งอ่อนแอที่สุดนับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1960 เป็นต้นมา เป็นผลจากมาตรการสงครามการค้า และกำแพงภาษีของสหรัฐ
ธนาคารโลกเผยว่า มาตรการภาษีและนโยบายสงครามการค้าของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบกับภาวะเศรษฐกิจทั่วทั้งโลก โดยคาดการณ์ว่า กำแพงภาษีรอบใหม่ของสหรัฐที่มีต่อคู่ค้าประเทศต่างๆ จะทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจโลกตกต่ำมากที่สุด นับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงิน หรือ “วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์” เมื่อปี 2008 และจะส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกถดถอย
ธนาคารโลกระบุว่า การเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปีนี้และปีหน้า เป็นการเข้าสู่ 7 ปีแห่งทศวรรษที่ 2020 ที่เศรษฐกิจจะเติบโตช้าที่สุด และเติบโตช้ากว่าทศวรรษใดๆ นับจากทศวรรษที่ 1960 เป็นต้นมา
นอกจากนี้ ธนาคารโลกได้ปรับลดการเติบโตของจีดีพีทั่วโลกในปีนี้ลง จากร้อยละ 2.7 เหลือร้อยละ 2.3 ภายใต้สมมติฐานว่ามาตรการกีดกันทางภาษีทั่วโลกจะยังคงอยู่ในระดับเดียวกับช่วงปลายเดือนพฤภาคม
“การเพิ่มภาษีแบบกระทันหันและรุนแรง ส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอน ทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจที่มีผลกับคนส่วนใหญ่ชะลอตัวลง และส่งผลให้โอกาสทางเศรษฐกิจของโลกเลวร้ายลง” รายงานธนาคารโลกระบุ
ทางด้านองค์กรเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ หรือ OECD ระบุว่า มาตรการภาษีของประธานาธิบดีสหรัฐ ส่งผลร้ายแรงต่อเศรษฐกิจมากกว่าคาดไว้
ความปั่นป่วนจากความตึงเครียดขั้นสูงด้านการค้า ทำให้มีการตัดลดการประมาณการณ์ความเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกลงถึงเกือบร้อยละ 70 ในทุกภูมิภาคและทุกกลุ่มรายได้ โดยกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาจะได้รับผลกระทบต่อเนื่องเป็นระยะยาว โดยเฉพาะเรื่องระดับหนี้สินของรัฐบาล
ที่มา
Global economy on track for worst decade since 1960s, World Bank warns