Skip to main content

ตามที่มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 4 ม.ค. 2565 ให้รับผิดชอบรับร่างพระราชบัญญัติการดำเนินกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหากำไร พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกายกร่างและได้รับความเห็นชอบในหลักการจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ไปดำเนินการรับฟังความคิดเห็นและวิเคราะห์ผลกระทบของร่างกฎหมายตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ซึ่งกระทรวง พม. ได้ดำเนินการเปิดรับฟังความคิดเห็นต่อร่างกฎหมายตั้งแต่วันที่ 18 มกราคม ถึง 1 เมษายน 2565 และปรากฏข้อมูลเป็นที่รับทราบในทางสาธารณะอย่างกว้างขวางถึงข้อวิพากษ์วิจารณ์และเสียงคัดค้านของภาคประชาชนกลุ่มต่างๆ จำนวนมาก รวมถึงองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนทั้งไทยและต่างประเทศ โดยเห็นร่วมกันว่าร่างพระราชบัญญัติการดำเนินกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหากำไร มีเนื้อหาที่ละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญและพันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะเสรีภาพในการรวมกลุ่มและการแสดงความคิดเห็น และจะส่งผลกระทบต่อการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในสังคมประชาธิปไตยอย่างกว้างขวางและร้ายแรง 

พร้อมทั้งมีข้อเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนและยุติการเสนอผลักดันร่างกฎหมายฉบับนี้โดยทันที ซึ่งกระทรวง พม. ก็ได้รับทราบถึงข้อคิดเห็นและเหตุผลข้อคัดค้านของภาคประชาชนกลุ่มต่างๆ ดังกล่าวด้วยแล้วผ่านช่องทางการรับฟังความคิดเห็นและกิจกรรมการสื่อสารแสดงออกต่อสาธารณะรูปแบบต่างๆ

อย่างไรก็ตาม กระทรวง พม. กลับมิได้ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานรับฟังความคิดเห็นของประชาชนผู้มีส่วนได้เสียต่อร่างกฎหมายอย่างเป็นกลาง โดยปรากฏว่า เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2565 กระทรวง พม. ได้ออกคำสั่งคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามร่างพระราชบัญญัติการดำเนินกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหาผลกำไร พ.ศ. ... ที่ 1/2565 เรื่อง แต่งตั้งคณะทำงานประชาสัมพันธ์การขับเคลื่อนร่างพระราชบัญญัติการดำเนินกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหาผลกำไร พ.ศ. ... ให้ทำหน้าที่ในการกำหนดทิศทางเป้าหมาย กำกับดูแล และพัฒนาการประชาสัมพันธ์การขับเคลื่อนร่างพระราชบัญญัติฯ และเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2565 อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการได้มีหนังสือด่วนที่สุดส่งถึงผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน 

โดยสรุปว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์มีข้อสั่งการให้กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการจัดทำเอกสารชี้แจงประเด็นความเข้าใจผิดในหลักการและเจตนารมณ์ของร่างพระราชบัญญัติการดำเนินกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ที่ทำให้องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรแสดงความคิดเห็นในเชิงลบต่อพระราชบัญญัติดังกล่าว กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการจึงได้จัดทำคำชี้แจงและขอให้สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนช่วยประชาสัมพันธ์เอกสารชี้แจงดังกล่าวให้กับองค์กรสภาชุมชน และเครือข่ายภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้อง เพื่อทำความเข้าใจร่างพระราชบัญญัติการดำเนินกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหากําไร ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของการร่างกฎหมาย 

โดยคำชี้แจงดังกล่าวอ้างว่า องค์กรไม่แสวงหากำไรมีความเข้าใจผิดต่อร่างกฎหมายใน 5 ประเด็น คือ การควบคุมองค์กรไม่แสวงหากําไร การจํากัดสิทธิเสรีภาพในการรวมกลุ่ม การจํากัดสิทธิเสรีภาพในการดำเนินกิจกรรม การจํากัดสิทธิเสรีภาพในการรับเงินอุดหนุนหรือเงินบริจาค และการให้อำนาจนายทะเบียนควบคุมมากไป

โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการชี้แจงว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้ออกแบบวิธีการโดยให้ภาครัฐ “กำกับดูแล” องค์กรที่ไม่แสวงหากําไร ไม่ได้มีลักษณะเป็นการ “ควบคุม” ไม่ได้บังคับให้องค์กรไม่แสวงหากําไรต้องมาจดทะเบียนหรือต้องขออนุญาตก่อตั้ง การรวมกลุ่มจึงทำได้ง่าย ไม่ก่อให้เกิดภาระหน้าที่กับประชาชนเกินความจําเป็น องค์กรไม่แสวงหากําไรยังคงมีสิทธิเสรีภาพเต็มที่ในการดำเนินกิจกรรมใด ๆ ภายใต้กรอบวัตถุประสงค์ในการจัดตั้ง

โดยภาครัฐจะควบคุมเฉพาะการกระทำที่มีลักษณะเป็นการดำเนินการตามมาตรา 20 เท่านั้น และยังคงมีอิสระในการรับเงินอุดหนุนหรือเงินบริจาคไม่ว่าจากในประเทศหรือต่างประเทศ แต่หากเป็นกรณีรับเงินอุดหนุนหรือเงินบริจาคจากต่างประเทศ องค์กรมีหน้าที่รายงานให้นายทะเบียนทราบและนําเงินอุดหนุนไปใช้ตามวัตถุประสงค์เท่านั้น และอำนาจของนายทะเบียนในร่างกฎหมายนี้ไม่ได้เป็นการใช้อำนาจโดยเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ตรวจสอบไม่ได้ หากจะออกคำสั่งยุติการดําเนินงานขององค์กรก็จะต้องแจ้งเตือนให้องค์กรหยุดหรือแก้ไขก่อน และหากนายทะเบียนออกคำสั่งไปแล้ว 

องค์กรยังมีสิทธิโต้แย้งอุทธรณ์คำสั่งและสามารถฟ้องศาลปกครองได้ ขบวนต่อต้านร่างกฎหมายทำลายการรวมกลุ่มของประชาชน ซึ่งเกิดจากการรวมกลุ่มของนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ประชาชน นักกิจกรรม และองค์กรภาคประชาสังคม ที่มีความเห็นและเจตนาร่วมกันชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยและไม่ยอมรับร่างกฎหมายทำลายสิทธิเสรีภาพในการรวมกลุ่มของประชาชนทุกฉบับ  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ร่างพระราชบัญญัติการดำเนินกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหากำไร” เห็นว่า คำชี้แจงและการดำเนินการของหน่วยงานและคณะกรรมการต่างๆ ภายใต้สังกัดกระทรวง พม. ดังกล่าว เป็นการปฏิบัติหน้าที่อย่างไม่เป็นกลาง ไม่ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเนื้อหาของร่างกฎหมายและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา บิดเบือนเจตนารมณ์และหลักการของกระบวนการรับฟังความคิดเห็นและวิเคราะห์ผลกระทบของร่างกฎหมาย จึงเป็นการดำเนินการที่ปราศจากความชอบธรรมและไม่อาจเป็นที่ยอมรับได้ ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้

1.กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากคณะรัฐมนตรีให้รับผิดชอบดำเนินกระบวนการรับฟังความคิดเห็นและวิเคราะห์ผลกระทบของร่างพระราชบัญญัติการดำเนินกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหากำไร จึงมีหน้าที่ต้องดำเนินกระบวนการดังกล่าวด้วยความเป็นกลาง รับฟังและรวบรวมทุกข้อคิดเห็นต่อร่างกฎหมายตามความเป็นจริง ไม่แสดงความเห็นชี้นำ แต่กระทรวง พม. กลับจัดทำและพยายามเร่งรีบเผยแพร่เอกสารคำชี้แจง โดยระบุอ้างว่าเป็นประเด็นความเข้าใจผิดที่ทำให้เกิดการแสดงความเห็นในเชิงลบต่อร่างพระราชบัญญัติฯ อันแสดงให้เห็นถึงการวางตัวที่ไม่เป็นกลาง ไม่เคารพและมีอคติต่อความคิดเห็นของประชาชน ซึ่งย่อมส่งผลให้การจัดทำรายงานสรุปรวบรวมผลการรับฟังความคิดเห็นต่อร่างกฎหมายและการวิเคราะห์ผลกระทบของร่างกฎหมายฉบับนี้ไม่มีหลักประกันความเป็นกลาง ขาดความน่าเชื่อถือ และไม่อาจเป็นที่ยอมรับต่อสาธารณะได้
  
2.ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 77 บัญญัติว่า “...ก่อนการตรากฎหมายทุกฉบับ รัฐพึงจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้อง วิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายอย่างรอบด้านและเป็นระบบ” และตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 มาตรา 12 บัญญัติว่า “เมื่อมีกรณีจำเป็นต้องเสนอให้มีการตรากฎหมาย ให้หน่วยงานของรัฐแสดงเหตุผลความจำเป็นในการตรากฎหมายและต้องวิเคราะห์โดยมีข้อมูลและเอกสารหลักฐานประกอบชัดเจนว่าไม่เป็นการสร้างภาระแก่ประชาชนเกินความจำเป็น คุ้มค่ากับภาระที่เกิดขึ้นแก่รัฐและประชาชน รวมทั้งไม่สามารถใช้มาตรการหรือวิธีการอื่นใดนอกจากการตราเป็นกฎหมาย” และมาตรา 14 บัญญัติว่าข้อมูลประกอบการรับฟังความคิดเห็นต่อร่างกฎหมายอย่างน้อยต้องประกอบด้วย “(1) สภาพปัญหา สาเหตุของปัญหา และความจำเป็นที่ต้องตรากฎหมายขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาหรือทำภารกิจในเรื่องนั้น รวมทั้งความมุ่งหมายและผลสัมฤทธิ์ที่พึงประสงค์ (2) คำอธิบายหลักการหรือประเด็นสำคัญของร่างกฎหมายโดยใช้ภาษาที่เข้าใจได้ง่าย (3) บุคคลซึ่งได้รับหรืออาจได้รับผลกระทบ และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายในด้านการดำรงชีวิต การประกอบอาชีพ หรือผลกระทบในทางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม หรือผลกระทบอื่นที่สำคัญ (4) เหตุผลความจำเป็นในการกำหนดให้มีระบบอนุญาต ระบบคณะกรรมการ หรือการกำหนดโทษอาญา รวมทั้งหลักเกณฑ์การใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ของรัฐ”

แต่ตามข้อเท็จจริงปรากฏว่าร่างกฎหมายฉบับนี้เกิดขึ้นจากข้อสั่งการโดยตรงของนายกรัฐมนตรี (พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) โดยที่นายกรัฐมนตรี สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กระทรวง พม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่เคยแสดงข้อมูลหลักฐานที่เป็นรูปธรรมประกอบเหตุผลความจำเป็นที่ชัดเจนในการตรากฎหมาย กับทั้งเป็นการยกร่างกฎหมายขึ้นโดยที่ยังไม่มีการศึกษาวิเคราะห์และเปิดเผยผลการประเมินผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการตรากฎหมายฉบับนี้ ซึ่งถือเป็นข้อมูลอันเป็นสาระสำคัญที่หน่วยงานต้องเปิดเผยเพื่อประกอบการพิจารณาทำความเข้าใจและแสดงความคิดเห็นต่อร่างกฎหมายของประชาชนผู้มีส่วนได้เสียในกระบวนการรับฟังความคิดเห็น   

ทั้งนี้ขบวนต่อต้านร่างกฎหมายทำลายการรวมกลุ่มของประชาชนขอยืนยันว่า ภาคประชาชนไม่ได้มีความเข้าใจผิดในเนื้อหาของร่างกฎหมายตามที่กระทรวง พม. กล่าวอ้าง และขอยืนยันความคิดเห็นและข้อห่วงกังวลซึ่งเกิดจากการศึกษาวิเคราะห์อย่างมีเหตุผลบนพื้นฐานที่เคารพต่อหลักการสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยตามที่ได้เคยเสนอไว้ต่อกระทรวง พม. และสาธารณะแล้วว่า ร่างพระราชบัญญัติการดำเนินกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหากำไร มีเนื้อหาที่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนอย่างกว้างขวางและรุนแรง แทรกแซงความเป็นอิสระและปิดกั้นขัดขวางการใช้เสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญในการรวมกลุ่มแสดงออกและการมีส่วนร่วมในประเด็นสาธารณะด้วยการกำหนดข้อห้ามการดำเนินกิจกรรมอย่างกว้างขวางคลุมเครือไร้ขอบเขต สร้างภาระหน้าที่ในการรายงานและเปิดเผยข้อมูลการดำเนินกิจกรรมภาคประชาชนและกระทบสิทธิในข้อมูลส่วนบุคคลเกินจำเป็น 

รวมถึงกำหนดมาตรการบังคับและบทลงโทษที่รุนแรง สุ่มเสี่ยงต่อการใช้อำนาจตีความตามอำเภอใจและการเลือกปฏิบัติเพื่อคุกคามองค์กรไม่แสวงหากำไรหรือกลุ่มประชาชนที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ วิพากษ์วิจารณ์ หรือแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างจากรัฐบาลและผู้มีอำนาจ เพียงเพื่อความมั่นคงของการผูกขาดการใช้อำนาจของรัฐบาลกลุ่มเล็ก ๆ เท่านั้น ซึ่งเป็นร่างกฎหมายที่มีขึ้นมาเพื่อปกป้องตนเองและพรรคพวกในรัฐบาลมิให้ประชาชนรวมกลุ่มตรวจสอบการบริหารจัดการบ้านเมืองของรัฐบาลที่สืบทอดอำนาจมาจากเผด็จการทหาร คสช. ขบวนต่อต้านร่างกฎหมายทำลายการรวมกลุ่มของประชาชนจึงขอเรียกร้องให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ยุติการกระทำที่ไม่เป็นกลางและหยุดบิดเบือนเจตนารมณ์และหลักการของกระบวนการรับฟังความคิดเห็นและวิเคราะห์ผลกระทบของร่างกฎหมาย หยุดถ่วงรั้งการพัฒนาหยุดทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของประชาชน และหยุดทำหน้าที่เป็นเครื่องมือของรัฐบาลในการกำจัดกลุ่ม องค์กร ขบวนประชาชนที่เห็นต่างทางการเมือง และขอเรียกร้องให้รัฐบาลยุติการเสนอและผลักดันร่างพระราชบัญญัติการดำเนินกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหากำไรฉบับนี้โดยทันที