Skip to main content

ที่อาคารอนาคตใหม่ ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กรุงเทพมหานคร เขต 25 และโฆษกพรรคก้าวไกล แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนถึงความพร้อมในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หลังคณะรัฐมนตรี ( ครม.) มีมติเห็นชอบให้มีการเลือกตั้งตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ รวมถึงมีข้อเสนอแนะต่อสถานการณ์ทางการเมืองเเละสถานการณ์โลกที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยในหลายด้าน 

ต้นทุนขยับ เกษตรกร-ประชาชนสะเทือน

ศิริกัญญา กล่าวว่า ผลกระทบจากสงครามยูเครน-รัสเซีย ส่งผลต่อค่าครองชีพและรายได้ประชาชนอย่างมหาศาล ผ่านราคาพลังงานที่พุ่งสูงที่สุดในรอบ 13 ปี ราคาอาหารสัตว์-ปุ๋ย ขยับขึ้น และจะส่งต่อมาที่อาหารสด ส่วนรายได้จากภาคท่องเที่ยวหยุดจะชะงักเพราะนักท่องเที่ยวจากรัสเซียลดลง

“ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่สินค้าแพงขึ้นจนอัตราเงินเฟ้อเดือน ก.พ. พุ่งขึ้นเป็น 5.3% สูงสุดในรอบ 13 ปี วิกฤตระลอกใหม่กำลังก่อตัวขึ้นอันเป็นผลมาจากสงครามและการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจกับประเทศรัสเซีย ซึ่งจะส่งให้เงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นไปอีก จากราคาพลังงานทั้งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ เนื่องจากรัสเซียเป็นผู้ส่งออกน้ำมันอันดับ 2 ของโลก รองจากซาอุดิอาระเบีย และเป็นผู้ส่งออกก๊าซธรรมชาติรายหลักให้กับทวีปยุโรป ล่าสุด ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาได้ออกข้อสั่งการแบนการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย ส่วนยุโรปประกาศลดการนำเข้าก๊าซจากรัสเซียลง 2 ใน 3 ทำให้มีการคาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันดิบอาจจะขึ้นไปสูงถึง 185$/bll (JP Morgan) บางแห่งประเมินว่าจะขึ้นไปถึง 200$/bll เช่น แบงค์ออฟอเมริกาหรือบาร์เคลย์

“นอกจากนี้ รัสเซียและยูเครนเป็นผู้ผลิตข้าวสาลี (29%) และข้าวโพด (19%) ถือเป็นแหล่งใหญ่อันดับต้นๆของโลก ขณะนี้ราคาของทั้งสองตัวกำลังปรับขึ้นสูงมาก ข้าวสาลีราคาขึ้นมาเกือบ 2 เท่า ข้าวโพดเพิ่มขึ้น 50% ตอนนี้วัตถุดิบเริ่มส่งสัญญาณขาดตลาดแล้วในประเทศไทย ซึ่งสุดท้ายต้นทุนก็จะมาตกกับเกษตรกรที่ทำปศุสัตว์และส่งต่อไปที่ราคาอาหารอย่างเนื้อสัตว์และไข่

“รัสเซียเป็นผู้ส่งออกปุ๋ยรายใหญ่เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะฟอสเฟตและโปแทส ตอนนี้รัฐบาลรัสเซียประกาศแบนการส่งออกปุ๋ยเคมี ย่อมซ้ำเติมกับต้นทุนราคาปุ๋ยของเกษตรกร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ราคาสินค้าเกษตรขายได้แพงขึ้น รัฐบาลจึงจำเป็นต้องมีการทบทวนต้นทุนสินค้าเกษตรที่ใช้ในการคำนวณราคาประกันตามโครงการประกันรายได้ เพื่อให้ราคาประกันที่เกษตรกรได้รับ สอดคล้องกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น” 

ท่องเที่ยวฟุบ-น้ำมันแพง- รัฐบาล ‘ถังแตก’

ศิริกัญญา กล่าวต่อไปว่า ภาคท่องเที่ยวที่กำลังจะฟื้นก็จะได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน เนื่องจากช่วงที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวจากรัสเซียเข้ามามากเป็นอันดับ 1 หลังเปิดประเทศ แต่ขณะนี้กำลังประสบปัญหาการชำระเงินผ่านบัตรเครดิต และการถอนเงินจากธนาคารใหญ่ในรัสเซียที่ถูกคว่ำบาตรทำได้ยาก ผู้ประกอบการจึงเกิดความกังวลว่าจะไม่ได้รับเงิน แม้ทาง ททท.จะมีขอเสนอให้กับ ครม.แล้ว แต่กลับไม่ปรากฏแนวทางปฏิบัติออกมาจาก มติครม.เมื่อวานนี้ ว่าจะแก้ไขปัญหาอย่างไร 

“กลับมาที่ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดคือ เรื่องราคาพลังงาน ถึงจุดนี้ รัฐบาลต้องกล้าออกมายอมรับความจริงกับประชาชนได้แล้ว ว่าไม่มีทางรักษาสัญญาที่ว่าจะตรึงราคาน้ำมันดีเซลไว้ที่ 30 บาทต่อลิตรได้ ปัจจุบันต้องใช้ทั้งสภาพคล่องจากกองทุนน้ำมันรวมกับภาษีสรรพสามิตราว 9.50 บาท คิดเป็นต้นทุนต่อเดือนราว 17,000 ล้านบาท เพื่อกดราคาดีเซลทุกลิตรที่จำหน่าย หากสถานการณ์ยืดเยื้อ และราคาน้ำมันดิบยังแพงขึ้นเรื่อยๆ สมมติว่าตลอดปีนี้ ค่าเฉลี่ยน้ำมันดิบอยู่ที่ 110 $/bll อาจจะต้องใช้เงินมากกว่า 200,000 ล้านบาท เพื่อราคาน้ำมันเพียงชนิดเดียว หากจะลดภาษีสรรพสามิตต่อ ก็อาจจะกระทบกับงบประมาณ ทุกๆ 1 บาทที่ลด หรือเท่ากับ 5,700 ล้านบาทต่อเดือน

“คำถามคือรัฐบาลจะนำเงินมาจากไหน ในเมื่อกฎหมายกำหนดไว้ใน มาตรา 26 กองทุนต้องมีจำนวนเงินเพียงพอเพื่อใช้ในการบริหารจัดการกองทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเมื่อรวมกับเงินกู้แล้วต้องไม่เกินจำนวน 40,000 ล้านบาท ตอนนี้ขอวงเงินไว้กับ ครม. 30,000 ล้านบาท แต่ยังกู้ไม่ได้” 

ศิริกัญญา กล่าวอีกว่า สำหรับสภาพคล่องกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ทำให้เงินกองทุนในบัญชีน้ำมันและบัญชีก๊าซแอลพีจีภาคครัวเรือนไหลออกเดือนละ 13,000 ล้านบาท ในขณะที่มีเงินไหลเข้ากองทุนเดือนละ 5,000 ล้านบาท โดยประมาณการฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2565 ที่ 21,838 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นบัญชีน้ำมัน 4,988 ล้านบาท และบัญชีก๊าซ LPG ติดลบ 26,826 ล้านบาท อย่างไรเสียก็ไม่น่าจะเพียงพอที่จะอุ้มดีเซลต่อไป หากจะออกพระราชกฤษฎีกาเพื่อขยายกรอบเงินกู้ ก็ไม่รู้ว่าเท่าไหร่ถึงจะเพียงพอ

แนะทางออก ยอมรับความจริง หนุนช่วยค่าครองชีพโดยตรง

ในช่วงท้าย ศิริกัญญา ย้ำว่า  ขณะนี้รัฐบาลเดินมาถึงทางตันแล้ว ไม่มีเงินพออุ้มราคาน้ำมันได้อีก พรรคก้าวไกล จึงมีข้อเสนอเพื่อบรรเทาปัญหาค่าครองชีพสูงจากราคาน้ำมัน ดังนี้ 

1. รัฐบาลต้องยอมรับกับประชาชนตรงไปตรงมา ว่าด้วยงบประมาณที่มี ‘รัฐถังแตก’ แล้ว ไม่มีเงินพออุดหนุนราคาน้ำมันต่อในระยะยาว 

2. ต้องเปลี่ยนจากการอุ้มราคาน้ำมันแบบเหมารวมทั้งประเทศ มาเป็นการอุดหนุนค่าครองชีพโดยตรงให้ประชาชน ช่วยทั้งผู้ใช้เบนซินและดีเซล มุ่งเป้าคนรายได้น้อย โดยเติมเงินเพิ่มในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ พร้อมกับต้องขยายสิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้ครอบคลุมมากขึ้น เพราะมีคนจนเพิ่มจำนวนมากจากสภาวะเศรษฐกิจในเวลานี้ แต่ยังไม่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 

3. นำเงินไปอุดหนุนตรงให้กับขนส่งสาธารณะและภาคโลจิสติกส์ เช่น กลุ่มรถบรรทุก เพื่อใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ ตรงกลุ่มเป้าหมาย 

“เราต้องการรัฐบาลที่มีวิสัยทัศน์ในการแก้ไขปัญหาค่าครองชีพของประชาชน มองการณ์ไกล รวมถึงต้องกล้ายอมรับ กล้าพูดความจริงกับประชาชน” ศิริกัญญา ระบุ 

พร้อมลุยศึก ผู้ว่า กทม.  

ด้าน ณัฐชา กล่าวว่า จากที่ประชุม ครม .เมื่อวานนี้ ( 8 มี.ค. 65 ) มีมติชัดเจน ให้มีการจัดเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร สมาชิกสภากรุงเทพ ( ส.ก.) รวมไปถึงผู้ว่าเมืองพัทยา ทางพรรคก้าวไกล ยืนยันว่า พร้อม ‘วิโรจน์ ลักขณาอดิศร’ เป็นแคนดิเดตผู้ว่าฯ ในนามพรรคก้าวไกล ซึ่งขณะนี้ได้ทำงานในพื้นที่ทั่วกรุงเทพฯ ร่วมกับ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ก. ของพรรคก้าวไกลทั้ง 50 เขต 

“พรรคก้าวไกลพร้อมแล้วในการเข้าสู่การเลือกตั้ง ไม่ว่าจะมีการจัดการเลือกตั้งในห้วงเวลาใดหลังจากนี้   และในวันที่ 27 มีนาคม 2565  พรรคก้าวไกลจะมีการเปิดนโยบายกรุงเทพมหานคร โดย วิโรจน์ ลักขณาอดิศร เเละ ว่าที่ส.ก.ทั้ง 50 คน ที่อาคารอนาคตใหม่”

ห่วง 2 คดีใหม่ รัฐบาลยังใช้กฎหมายปิดปากคนเห็นต่าง 

นอกจากนี้ ณัฐชา ยังมีความเห็นต่อความเคลื่อนไหวทางการเมืองและกลุ่มผู้ชุมนุมที่เคลื่อนไหวในสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่ามีการดำเนินคดีกับประชาชนที่ออกมาเเสดงความคิดเห็นทางการเมือง 2 คดีด้วยกัน  

กรณีเเรกคือ คดีของ คุณทานตะวัน นักศึกษาอายุ 20 ปี ถูกดำเนินคดีในข้อหาความผิดฐานดูหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ,ความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และความผิดฐานไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าหน้าที่พนักงานและต่อสู้ขัดขวางเจ้าหน้าที่พนักงานในการไลฟ์สดก่อนมีขบวนเสด็จบริเวณถนนราชดำเนินนอก ในวันที่ 5 มีนาคม 2565 ที่ผ่านมา ภายหลัง คุณทานตะวันยังถูกเเจ้งข้อหาเพิ่มเติมฐานยุยงปุกปั่นตามมาตรา 116 และขัดขวางเจ้าหน้าที่พนักงานฐานทึ่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าหน้าที่พนักงานในกรณีทำโพลความคิดเห็นเรื่องขบวนเสด็จบริเวณลานหน้าศูนย์การค้าสยามพารากอน เมื่อวันที่ 8 กุมพาพันธ์ 2565 กรณีนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจยังได้ออกหมายเรียกบุคคลอื่นรวมอีก 8 ราย หนึ่งในนั้นมีเยาวชนอายุเพียง 15 ปี 

กรณีที่สอง คดีของ คุณนิรพร เเนวร่วมธรรมศาสตร์เเละการชุมนุม ถูกดำเนินคดีเมื่อวันที่ 7 มีนาคม ที่ผ่านมา โดยถูกตั้งข้อหาหมิ่นประมาทอาฆาตมาดร้ายดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จากที่ คุณนิรพร ถูกกล่าวหาว่าเป็นแอดมินเฟซบุ๊กเพจเเนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม เเละได้โพสข้อความจำนวนหนึ่งโพส

“จากทั้ง 2 กรณี พรรคก้าวไกลเห็นว่า รัฐบาลยังไม่ทีท่าที่จะยุติที่จะดำเนินคดีต่อกลุ่มนักศึกษาที่ออกมาเคลื่อนไหว ยังคงทำร้ายเยาวชนเเละนักศึกษา ทั้งที่พวกเขาเพียงออกมาเเสดงความคิด ความเห็น และเรียกร้องตามระบอบประชาธิปไตย เป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ เเต่เจ้าหน้าที่กลับใช้ข้อหาร้ายเเรง โดยเฉพาะการใช้มาตรา 112 อย่างหว่านแห คลุมเครือ ทั้งที่กฎหมายทางอาญานั้นมีโทษขั้นสูง ดังนั้น รัฐบาลจะต้องมีความชัดเจนและต้องมีพื้นฐานการตัดสินใจอยู่บนความเคารพสิทธิเเละเสรีภาพของประชาชน”

ณัฐชา ยังกล่าวด้วยว่า การตีความ มาตรา 112 และกระบวนการทางยุติธรรมของไทยในเวลานี้ ถูกตั้งคำถามมากขึ้น หลังศาลอาญาได้พิจารณาการติดสติกเกอร์ กูkult บนพระบรมฉายาลักษณ์ รัชกาลที่ 10 หน้าศาลฎีกา ในการชุมเมื่อนุมเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2563 โดยคดีดังกล่าว ศาลพิพากษาให้จำเลยกระทำความผิดมีโทษจำคุก 3 ปี ลดโทษเหลือจำคุก 2 ปี ซึ่งคดีนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ทั้งในแง่ของหลักการในการตีความคำว่าหมิ่นประมาทหรือดูหมิ่น และการขยายขอบเขตอย่างคลุมเครือถึงการกระทำต่อวัตถุสิ่งของ นอกจากนี้ กระบวนการยุติธรรมยังถูกตั้งข้อสังเกตถึงความไม่ปกติ เช่น การพยายามตัดพยานผู้เชี่ยวชาญของฝ่ายจำเลยออกไปทั้งหมด เเละการไม่บันทึกคำถามค้านของทนายฝ่ายจำเลย ทำให้คดีมีการพิพากษาที่รวดเร็วมาก 

“พรรคก้าวไกล เห็นว่าการดำเนินคดีการเมืองโดยเฉพาะการบังคับใช้ มาตรา 112 อย่างที่เป็นอยู่ จะยิ่งเป็นการสะสมความขัดเเย้งทางการเมืองที่รอวันระเบิด ซึ่งจะส่งผลให้สิทธิเสรีภาพของพี่น้องประชาชนเสื่อมคลายลง ส่งผลให้ประชาชนหมดศรัทธาต่อกระบวนการยุติธรรม สถาบันตุลาการ เเละส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์กับประชาชน การเเลกเปลี่ยนทางความคิดในห้วงเวลาเปลี่ยนผ่านทุกยุคสมัยจะต้องมีพื้นที่ปลอดภัย สิ่งนี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลควรตระหนักเเละทบทวนอีกครั้งก่อนที่จะใช้กฎหมายปิดปากประชาชน” ณัฐชา กล่าวทิ้งท้าย