ตร.เผยคืบหน้าคดี 'แตงโม' สอบพยานไปแล้ว 65 ปาก ทั้งพยานบุคคลและพยานแวดล้อม รับพยานทั้ง 5 คน ที่อยู่บนเรือจนถึงขณะนี้ มีคนที่พูดโกหก แต่จะมีมากกว่า 1 คนหรือไม่นั้น ยังเปิดเผยไม่ได้ ขณะที่ ชูวิทย์ เปิดชื่อนักการเมือง ช. ให้คำแนะนำ 5 พยานบนเรือ
ที่ห้องประชุมอมรวิวัฒน์ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.อุดร ยอมเจริญ รอง ผบช.ภ.1 และ พ.ต.อ.จาตุรนต์ อนุรักษ์บัณฑิต ร่วมแถลงความคืบหน้าคดีการเสียชีวิตของแตงโม นิดา โดยใช้เวลาแถลงข่าวและตอบข้อซักถามของสื่อมวลชนนานกว่า 1 ชั่วโมง
พล.ต.ต.อุดร กล่าวว่า สำหรับคดีนี้ได้สอบปากคำผู้เกี่ยวข้องไปทั้งหมดแล้ว 65 ปาก ทั้งพยานบุคคล พยานแวดล้อม ซึ่งจะให้การตามความจริงหรือไม่จริง ตำรวจก็ต้องสอบปากคำไว้ทั้งหมด เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ โดยในวันนี้ (7 มี.ค.) ได้เรียกนายสันธนะ ประยูรรัตน์ มาสอบปากคำ เนื่องจากระบุว่ามีข้อมูลมี่เป็นประโยชน์ต่อคดี สอบปากคำเจ้าของเรืออีกคนหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องข้อมูลทั่วไปของเรือ และกำลังอยู่ระหว่างรอผลตรวจเนื้อเยื่อจากแผลที่ขาของแตงโม ซึ่งมีการส่งไปตรวจยังองค์กรที่ 2 นอกเหนือจากสถาบันนิติเวช
และในวันนี้ตำรวจยังได้ให้ จ็อบพาไปตรวจค้นบ้านและมีการสอบเพิ่มเติม โดยเฉพาะเรื่องเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ใช้ดื่มกันบนเรือในวันเกิดเหตุ ว่าเป็นชนิดใดบ้าง ปริมาณเท่าไหร่ เพราะเครื่องดื่มแต่ละชนิดก็จะให้ผลต่อผู้ดื่มที่แตกต่างกัน ซึ่งตำรวจจำเป็นต้องทราบข้อมูลตรงนี้เพื่อเอามาวิเคราะห์พฤติกรรมของคนบนเรือว่าจะมีบริบทที่นำพาไปในทิศทางที่มากกว่าการเป็นอุบัติเหตุหรือไม่ โดยผลของการตรวจค้นจะมีการสรุปในการแถลงข่าววันพรุ่งนี้อีกครั้ง ส่วนทั้ง 5 คนบนเรือ จะมีอาการมึนเมาหรือไม่นั้น ขอยังไม่ระบุ เพราะทั้ง 5 คน มีทนายความ แต่หลักฐานเครืองดื่มที่อยู่บนเรือจะสามารถบ่งชี้ได้
พล.ต.ต.อุดร ยอมรับด้วยว่า จากการสอบพยานทั้ง 5 คน ที่อยู่บนเรือจนถึงขณะนี้ มีคนที่พูดโกหก เพราะในการสอบแยก มีคนที่พูดไม่ตรงกัน แต่จะมีมากกว่า 1 คนหรือไม่นั้น ยังเปิดเผยไม่ได้ เพราะเป็นส่วนของสำคัญของคดี ส่วนจะมีการแจ้งข้อหากระทำการโดยประมาทฯ กับคนบนเรือเพิ่มอีกหรือไม่ ก็มีแนวโน้มประมาณ 50% แต่ยังต้องขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานที่จะรวบรวมได้ว่าจะเพียงพอหรือไม่
สำหรับกรณีเรื่องมีการกล่าวอ้างว่า สาเหตุที่ทำให้แตงโมขึ้นเรือไปวันนั้น เพราะมีนายพลระดับบิ๊กมาว่าจ้าง และเปิดโรงแรมริมแม่น้ำเจ้าพระยารออยู่ พล.ต.ต.อุดร ยืนยันว่า ข้อมูลนี้ไม่มีอยู่จริง โดยตำรวจมีพยานหลักฐานทางเทคนิคว่า 5 คนบนเรือมีการติดต่อสื่อสารกับใครบ้าง พบว่ามีการแจ้งเพียงเรื่องแตงโมตกน้ำ แต่ไม่มีการพูดคุยไปในทิศทางของการรับงานหรือล่อลวงไปค้าประเวณีดังกล่าว
ส่วนประเด็นข้อสงสัยที่มีผู้เปิดเผยว่า มีนายพล อักษรย่อ น. เอาข้อมูลสำคัญในการสอบสวนไปขาย ตนขอเอาเกียรติของตำรวจยืนยันว่า ไม่มีใครเอาข้อมูลไปเปิดเผย และด้วยเกียรติของตำรวจ จะไม่มีใครมาชักจูงได้ อีกทั้ง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการมาโดยตรงว่าให้เร่งคลี่คลายคดีนี้ให้หมดข้อสงสัยให้เร็วที่สุด
สำหรับการที่ครอบครัวของแตงโม ต้องการจะให้แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ เข้ามาร่วมชันสูตรศพด้วยนั้น ย้ำว่า ตำรวจไม่ปิดกั้นการให้บุคคลภายนอกเข้ามาร่วมคลี่คลายคดี หากเป็นความต้องการของญาติ แต่บุคคลนั้นต้องเป็นหน่วยงาน องค์กร หรือบุคคล ที่มีทั้งอำนาจและหน้าที่ตามกฎหมาย หากกระบวนการในชั้นกรรมาธิการในสภาจะมาร่วมในคดีนี้ มีหน้าที่ในการเรียกไปชี้แจงเท่านั้น ไม่มีอำนาจหน้าที่ในการสอบสวน
กรณีที่มีการเปิดเผยว่ามีพยานที่ไปติดต่อกับนักการเมืองจังหวัดสมุทรปราการเพื่อขอคำปรึกษาทางคดี ยืนยันว่า ยังไม่มีข้อมูลเรื่องนี้ แต่เมื่อสื่อเปิดเผยมาจะรับข้อสงสัยไปดำเนินการต่อ แต่ยืนยันว่า การดำเนินงานของตำรวจ ได้ตรวจสอบบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งก่อนเกิดเหตุและหลังเกิดเหตุทั้งหมด และจะเรียกทุกคนที่มีการติดต่อกับพยานบนเรือ มาให้ปากคำทั้งหมด และข้อมูลในโทรศัพท์มือถือ ยืนยันว่าหากมีการลบก็สามารถกู้คืนได้
อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ แซน วิศาพัช ยังไม่ได้ตอบรับนัดหมายวันเวลาในการเข้ามาให้ปากคำเพิ่มเติม บอกเพียงว่ายืนยันจะเข้ามา ซึ่งหากบ่ายเบี่ยงไม่ยอมเข้ามา ตำรวจจะดำเนินการออกหมายเรียก และติดตามตัวมาสอบปากคำให้ได้
สำหรับข้อสงสัยเรื่องรูปลักษณ์ของโรเบิร์ต ว่าในรูปกับตัวจริง ไม่เหมือนกัน ยืนยันว่าได้มีการตรวจสอบลายนิ้วมือชัดเจน ว่าไม่ได้มีการสลับตัว ส่วนสาเหตุที่ดูไม่เหมือนกัน โรเบิร์ตได้เคยชี้แจงกับผู้กำกับการ สภ.เมืองนนทบุรีว่า ได้ไปถอผมมา ขนาดตอนที่ตำรวจจะขอตรวจดีเอ็มเอเส้นผม โรเบิร์ตยังมีอาการหวงเส้นผมของตัวเองด้วย จึงได้มีการสอบถาม เจ้าตัวเลยเปิดรูปตนเองก่อนหน้าจะไปทอผมให้ดู
ชูวิทย์ เปิดชื่อนักการเมือง ช. ให้คำแนะนำ 5 พยานบนเรือ
ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เปิดบ้านแถลงความคิดเห็นเกี่ยวกับคดีการที่ดาราสาวแตงโมทักตกน้ำเจ้าพระยา เสียชีวิตว่า ส่วนตัวอยากให้บุคคลทั้งห้าที่อยู่บนเรือร่วมกับดาราสาวออกมาพูดความจริงเพราะขณะนี้จากข้อมูลที่ตนเองทราบ มีการโกหกขึ้นโดยจุดประสงค์เพื่อเบี่ยงเบนความผิดที่เกิดขึ้น เพราะหากมีการโกหกตั้งแต่ขั้นตอนแรกจะต้องโกหกให้ทุกขั้นตอนหรือโกหกต่อไปเรื่อยเรื่อยซึ่งในคดีนี้มีบุคคลที่เกี่ยวข้องมากกว่าหนึ่งคนอาจทำให้การโกหกเป็นไปด้วยความลำบาก
ชูวิทย์ ยังระบุอีกว่าจากข้อมูลทราบว่า กลุ่มคนที่อยู่บนเรือทั้งห้าคน หลังเกิดเหตุได้มีการโทรประสานไปยังนักการเมืองคนหนึ่งที่มีอักษรย่อ ช. เพื่อขอความช่วยเหลือรวมถึงคำแนะนำ จนต่อมากลายเป็นการให้ทุกคนที่อยู่บนเรือให้การไปในทิศทางเดียวกันว่าดาราสาวออกไปทำธุระส่วนตัวที่ท้ายเรือก่อนเสียหลักตกน้ำไปเสียชีวิตซึ่งตนเองมองว่าเป็นการกระทำที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นจริงเพราะผู้หญิงควรจะต้องอายกับการกระทำดังกล่าวที่จองเกิดขึ้นบนเรือที่ไม่ได้มีขนาดใหญ่และเรือล่องอยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยาที่สามารถจอดเทียบถ้าตามสถานที่ต่างๆได้อย่างง่ายดายเช่นร้านอาหารบ้านคนหรือวัด
"หนึ่งในห้าที่อยู่บนเรือตนเองรู้จักเมื่อ 10 ปีก่อนขณะนั้นที่นายปยังเปิดเต็นท์รถมือสองขายรถญี่ปุ่นอยู่ที่ย่านพัฒนาการก่อนที่ต่อมาจะรู้จักกับวงการเล่นรถหรูอักษรย่อ ผ. และมีการแนะนำกันต่อๆมาจนมารู้จักกับนักการเมืองอักษรย่อ ช. คนนี้ ที่มีลักษณะนิสัยชอบเล่นรถหรูขับรถหรูไปสภาบ่อยครั้ง" ชูวิทย์ กล่าว
ส่วนตัวมองว่าคดีนี้ประชาชนและสื่อมวลชนจะได้รับการแถลงข้อมูลคดีในอีกหนึ่งถึงสองวันต่อจากนี้จะถามตำรวจซึ่งทิศทางที่คาดว่าจะมีการแถลงต่อสื่อมวลชนและประชาชนก็คืออุบัติเหตุ ซึ่งตนเองยืนยันว่าหากทั้งห้าคนที่อยู่บนเรือมีการให้ข้อมูลอย่างตรงไปตรงมาในคดีลักษณะแบบนี้ไม่จำเป็นต้องมีทนายความ อย่างเช่นคดีเสี่ยเบนซ์ก็จบลงด้วยดีไม่ยืดเยื้อเพียงแต่ณตอนนี้เกิดการโกหกร่วมกันโกหกทำให้มีการเบี่ยง ประเด็นของการเกิดอุบัติเหตุเพื่อปกปิดความผิดบางอย่าง ยกตัวอย่างเช่นเรื่องขวดไวน์ที่มีการเจอเพียงขวดเดียวตนเองยืนยันจากประสบการณ์ว่าขวดไวน์หนึ่งขวดสามารถรินได้มากสุด 7 แก้ว ซึ่งคนบนเรือมีอยู่กันหกคนเป็นไปไม่ได้ที่จะมีเพียงขวดเดียวซึ่งประเด็นเรื่องเมาแล้วขับเรือ อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ผู้กระทำผิดต้องการเบี่ยงเบนประเด็น
ชูวิทย์ยังมีการวาด วงล้อวัฏจักร ของกลุ่มไฮโซคือมีรถหรู เรือเร็ว เหล้าไวน์ ยา นักการเมือง โดยนายชูวิทย์ระบุว่าทั้งหมดทั้งมวลเกี่ยวข้องกับวัฏจักรนี้ อีกทั้งตนเองยังทราบว่าหนึ่งในผู้ที่อยู่บนเรือมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยา ซึ่งตนเองตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับการที่มีการหายไปสองวันก่อนจะเข้าพบตำรวจซึ่งการหายตัวไปลักษณะแบบนี้ตนเองมองได้เพียงว่า เป็นการจงใจปกปิดการตรวจสอบบางอย่างหรือไม่ซึ่งส่วนนี้เชื่อว่าตำรวจต้องมีการตรวจสอบ แต่จะสามารถตรวจสอบเจอหรือไม่อันนี้ตนเองไม่สามารถตอบได้
พร้อมกันนี้นายชูวิทย์ยังฝากถึงนักสืบโซเชียล ต่างๆ ว่าอย่าหยิบยกประเด็นที่อาจทำให้ตัวผู้เสียชีวิตเสื่อมเสียมาพูดอาทิเช่นเด็กเอ็นท์ หรือประเด็นที่มีการล่องเรือเพื่อเตรียมพาไปพบผู้ใหญ่ที่มีการนอนรออยู่ที่โรงแรมแห่งหนึ่งตนเองพูดจากประสบการณ์ที่ผ่านมาว่าไม่มีผู้ใหญ่คนไหนจะมารอเด็กแบบนี้เพราะเรื่องแบบนี้หากเกิดขึ้นจริงจะมีการทำกันเงียบเงียบและรวดเร็วไม่มีการรอเพราะอาจเสี่ยงต่อการถูกพบเห็นจากผู้อื่นรวมถึงเรื่องแบบนี้ทั้งสองฝ่ายต้องเกิดจากความสมัครใจไม่ใช่การบังคับเพราะจะมีปัญหาตามหลังมาได้
ส่วนกรณีการพูดถึงว่ามีนายตำรวจ ระดับพล ตำรวจตรีออกมาขายข้อมูลให้กับทางผู้ก่อเหตุตนเองไม่เชื่อว่ามีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเนื่องจากเหตุการณ์ที่เป็นที่สนใจของประชาชนลักษณะแบบนี้มีสื่อเกาะติดและนำเสนอเรื่องราวอยู่ทุกวันตำรวจไม่มีใครอยากเอาตัวเองมาเสี่ยงกับเรื่องแบบนี้อยู่แล้วทุกคนต้องระวังตัว
ส่วนประเด็นที่แม่ของดาราสาวออกมาพูดเกี่ยวกับเรื่องเงินเยียวยาตนเองมองว่าเป็น สิทธิ์ที่คุณแม่สามารถทำได้ส่วนจะมีใครเป็นคนอธิบายหรือแนะนำ คุณแม่หรือไม่ตนเองตอบได้เพียงว่าเป็นตนเองก็จะแนะนำแบบนี้เพราะเป็นสิทธิ์ที่สามารถทำได้ตามกฏหมายและที่มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงการออกมาพูดในช่วงนี้ตนเองมองว่าเพราะเป็นข่าวที่กระแสสังคมยังให้ความสนใจหากทิ้งไว้และมาพูดให้ทีหลังอาจไปรับความสนใจจากสื่อหรือประชาชน และสุดท้ายเรื่องก็จะเงียบลงไม่มีใครสนใจ
สุดท้าย ชูวิทย์ยังระบุอีกว่าหากกลุ่มคนในเรือทั้งห้ามาปรึกษาตนเองตั้งแต่แรกตนเองก็จะให้คำแนะนำเพียงว่าพูดความจริงทั้งหมดโดยไม่ต้องปกปิดหรือเบี่ยงประเด็นไปประเด็นอื่นเพราะคดีแบบนี้สามารถจบลงได้โดยดีไม่จำเป็นต้องมีการปรึกษาทนายเพราะการปรึกษาทนายอาจมาจากสาเหตุของการต้องการปกปิดและต่อสู้คดี ทั้งนี้ยังยืนยันอีกว่าตนเองเป็นคนตรงไปตรงมาไม่ได้ต้องการอยากดังเพราะเป็นคนที่มีชื่อเสียงอยู่แล้วจึงไม่จำเป็นต้องออกมาเปิดโรงน้ำแข็งหรือการให้ข่าวแบบปั่นน้ำเป็นตัวแบบที่หลายหลายคนกำลังทำอยู่ตอนนี้ พร้อมขอสื่ออย่าตกเป็นเครื่องมือของบุคคลที่จงใจปล่อยข่าวลือต่างๆเพื่อเบี่ยงประเด็นหรือใช้สื่อเป็นเครื่องมือในการโยงไปหาบุคคลอื่นเพื่อทำลายชื่อเสียง