โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยืนยัน การเยือนราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี มีการเตรียมการมาอย่างยาวนาน ซึ่งการฟื้นความพันธ์ระหว่างกัน จะเป็นโอกาสสำคัญต่อไทยในทุกด้าน โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว
ธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงกรณีที่มีกระแสข่าววิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการเยือนราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในประเด็นต่างๆ โดยยืนยันว่า การเยือนซาอุดีอาระเบียครั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศ ได้เตรียมการเยือนซาอุดีอาระเบียมาเป็นระยะเวลาพอสมควร ไม่ใช่เป็นการเยือนที่เกิดขึ้นกะทันหัน การปรับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบียเป็นวาระสำคัญของรัฐบาลชุดต่างๆ ที่ผ่านมา และเริ่มมีพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมภายหลังการพบหารือ 3 ฝ่าย ระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กับนายกรัฐมนตรีบาห์เรน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศซาอุดีอาระเบียในขณะนั้น ในช่วงการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย (ACD) ครั้งที่ 2 เมื่อเดือนตุลาคม 2559 ที่กรุงเทพฯ
หลังจากนั้น ทั้งสองฝ่ายได้หารือกันต่อเนื่อง เช่น การพบกันระหว่างนายกรัฐมนตรีกับเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด มกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมซาอุดีอาระเบีย ในช่วงการประชุมผู้นำ G20 ที่นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น เมื่อเดือนมิถุนายน 2562 และการเดินทางเยือนซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการของดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (ตำแหน่งในขณะนั้น) ตามคำเชิญของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศซาอุดีอาระเบีย เมื่อเดือนมกราคม 2563
ล่าสุด นายกรัฐมนตรีได้เดินทางเยือนซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการ ตามคำเชิญของเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด มกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแห่งซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นผู้แทนพระองค์สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียในการปฏิบัติพระราชกรณียกิจสำคัญ รวมถึงเป็นผู้แทนในการพบหารือกับผู้นำประเทศต่างๆ อาทิ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดีฝรั่งเศส และนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร และถือเป็นบุคคลสำคัญที่มีบทบาทนำในการบริหารประเทศอย่างแท้จริง โดยนายกรัฐมนตรีได้รับการต้อนรับจากเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมานฯ อย่างสมเกียรติ และเห็นชอบการปรับความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบียให้เป็นปกติ ซึ่งจะมีการดำเนินการสำคัญที่ตามมาคือการแต่งตั้งเอกอัครราชทูตของทั้งสองประเทศ และการวางแนวทางความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ ต่อไป
ทั้งนี้ การปรับความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบียให้เป็นปกติ จะสร้างประโยชน์ให้ไทยในทุกด้าน โดยเฉพาะผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ โดยกลุ่มธุรกิจไทยจะเข้าถึงตลาดซาอุดีอาระเบียซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในกลุ่มประเทศอาหรับ และเป็นตลาดการลงทุนสำคัญของไทย การสร้างโอกาสให้กลุ่มธุรกิจอาหารฮาลาลของไทย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงกุ้งที่ไทยมีความเชี่ยวชาญ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการส่งเสริมความมั่นคงด้านอาหารของไทยด้วย
นอกจากนี้ ยังทำให้แรงงานฝีมือและแรงงานเฉพาะทางของไทย สามารถกลับเข้าไปทำงานในซาอุดีอาระเบียได้ ซึ่งซาอุดีอาระเบียมีความต้องการแรงงานในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ จำนวนมากในขณะนี้ ในอดีตเคยมีแรงงานไทยในซาอุดีอาระเบียกว่า 300,000 คน และสร้างรายได้ส่งไทยมากกว่า 9,000 ล้านบาทต่อปี ส่วนด้านการท่องเที่ยว คาดว่าจะมีชาวซาอุดีอาระเบียเดินทางมาท่องเที่ยวไทยเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 2 เท่าหลังการปรับความสัมพันธ์ และสร้างรายได้ไม่ต่ำกว่าปีละ 5,000 ล้านบาท ซึ่งชาวซาอุดีอาระเบียมีศักยภาพสูงในแง่การจับจ่ายใช้สอย และเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญที่จะส่งเสริมไทยในด้าน medical hub
ปัจจุบัน ซาอุดีอาระเบียมีความเปลี่ยนแปลงและเปิดกว้างทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมอย่างมีนัยสำคัญ โดยรัฐบาลซาอุดีอาระเบียมีนโยบายการค้าเสรี กอปรกับการดำเนินนโยบายสร้างความหลากหลายทางเศรษฐกิจภายใต้วิสัยทัศน์ซาอุดีอาระเบีย ค.ศ.2030 ยิ่งเพิ่มโอกาสสำหรับภาคธุรกิจของไทย นอกจากนี้ ซาอุดีอาระเบีย ยังสามารถเป็นตัวเชื่อมประเทศไทยเข้ากับกลุ่มประเทศมุสลิมอื่น ๆ การปรับความสัมพันธ์ฯ ในครั้งนี้จึงมีแต่ผลดีทั้งต่อทั้งประชาชนของไทยและซาอุดีอาระเบีย โดยไม่มีผลในเชิงลบแต่อย่างใด