Skip to main content

ธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่าสหราชอาณาจักรได้พิจารณาปรับประเทศไทยออกจากประเทศกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงจากการแพร่ระบาดของโควิด ในกลุ่มประเทศสีแดง (Red List) แล้ว จะมีผลตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป

ธานี กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศได้รับรายงานจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงลอนดอนว่า เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2564 รัฐบาลสหราชอาณาจักร ได้ประกาศผลการพิจารณาทบทวนรายชื่อประเทศและพื้นที่ที่พบการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด และความเสี่ยงในการเดินทางรอบล่าสุด โดยปรับให้ไทย และอีกหลายประเทศรวมทั้งประเทศอาเซียน ออกจากกลุ่มประเทศ Red List และจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2564 เวลา 04.00 น. (เวลาท้องถิ่นของสหราชอาณาจักร)

ในการปรับเปลี่ยนรายชื่อประเทศครั้งนี้ รัฐบาลสหราชอาณาจักร ได้มีการปรับปรุงข้อกำหนดใหม่โดยเหลือการกำหนดประเทศและพื้นที่เสี่ยงเพียง 2 กลุ่ม คือกลุ่ม Red List ซึ่งเหลือเพียง 7 แห่ง และกลุ่ม Non-Red List ซึ่งรวมถึงประเทศไทย

การปรับข้อกำหนดดังกล่าว ทำให้ผู้ที่จะเดินทางเข้าสหราชอาณาจักร จากประเทศในกลุ่ม Non-Red List ที่ได้รับวัคซีนครบ 2 โดส แล้วจากประเทศและวัคซีนที่สหราชอาณาจักรรับรอง จะไม่ต้องตรวจหาเชื้อแบบ PCR ก่อนเดินทาง และไม่ต้องกักตัวเมื่อเดินทางถึงสหราชอาณาจักร โดยจะต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อแบบ PCR ในวันที่ 2 เมื่อเดินทางถึงสหราชอาณาจักรเท่านั้น

รัฐบาลสหราชอาณาจักร ยังประกาศรับรองการฉีดวัคซีนจากประเทศไทยเพิ่มเติมด้วย โดยครอบคลุมถึงเอกสารรับรองการฉีดวัคซีน (vaccine certificate) ของไทย โดยมีวัคซีน 4 ชนิด ที่ให้การรับรอง ได้แก่ AstraZeneca, Pfizer, Moderna และ J&J "โดยไม่มีเงื่อนไขเกี่ยวกับแหล่งผลิตวัคซีน" ทำให้ผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีน AstraZeneca ที่ผลิตในประเทศไทยครบจำนวนแล้ว สามารถเดินทางเข้าสหราชอาณาจักรได้ ส่วนผู้เดินทางจากประเทศไทย ที่รับวัคซีนชนิดอื่น (เช่น Sinovac และ Sinopharm) หรือยังไม่ได้รับวัคซีน ยังต้องมีผลการตรวจหาเชื้อแบบ PCR ก่อนเดินทาง และเข้ารับการกักตัวที่บ้านพักเมื่อเดินทางถึงอีก 10 วัน

การพิจารณาปรับไทยออกจากกลุ่มประเทศ Red List ในครั้งนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลสำเร็จจากความพยายามของสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงลอนดอน กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการผลักดันร่วมกันและประสานงานกับฝ่ายสหราชอาณาจักรอย่างเต็มที่ ซึ่งจะส่งผลให้การเดินทางจากไทยมีความสะดวกยิ่งขึ้น และส่งเสริมการท่องเที่ยวจากสหราชอาณาจักรมายังไทยในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปีอีกด้วย