Skip to main content

วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.พรรคก้าวไกล ได้ขึ้นอภิปรายกรณีสัญญาจัดซื้อวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ซึ่งไม่ใช่ความล้มเหลวที่เกิดจากความไม่รู้หรือประมาทเลินเล่อ แต่เป็นความจงใจที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ ซึ่งเล็งเห็นถึงความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นกับประชาชนทั้ง 67 ล้านคนได้ล่วงหน้า แต่ก็ยังดึงดันที่จะพาประชาชนทั้งประเทศไปเสี่ยงกับความตาย

วิโรจน์ ระบุว่าเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา ตนได้เตือนทั้ง พล.อ.ประยุทธ์และอนุทิน ถึงการกระจายความเสี่ยงในการจัดหาวัคซีน ในวันนั้นอนุทินได้ตอบชี้แจง ว่าผู้ผลิตวัคซีนยี่ห้ออื่นๆ ได้มาติดต่อกับรัฐบาลแล้ว และบอกว่าจะจัดส่งได้เร็วที่สุดในไตรมาส 3 ของปี 2564 

อนุทิน ระบุว่าในเวลานั้นประเทศไทยจะมีวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าที่ผลิตในประเทศไทยเต็มโรงพยาบาล เต็มแขนคนไทย จนไม่มีที่พอเก็บ แต่วันนี้ เรากลับมีแต่วัคซีนที่ไม่มีประสิทธิผลเพียงพอที่จะป้องกันเชื้อสายพันธุ์เดลตาอย่างซิโนแวค

วิโรจน์ ระบุว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากสัญญาที่รัฐบาลไทยทำกับบริษัทแอสตร้าเซเนก้า ซึ่งแบ่งเป็นสัญญาจัดซื้อ 26 ล้านโดส และสัญญาจัดซื้อ 35 ล้านโดส ที่ออกมาเป็นมติ ครม. ในวันที่ 5 มกราคม 2564 ซึ่งควรต้องทำสัญญาจองซื้อเรียบร้อยแล้ว หรืออย่างน้อยก็ควรต้องมีการลงนามหนังสือใดๆ แต่ครม. กลับเพิ่งให้จองซื้อวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าเพิ่มจากล็อตแรก 26 ล้านโดส เป็น 61 ล้านโดส เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ หลังจากที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ 

ต่อมา สถาบันวัคซีนแห่งชาติส่งสัญญาจัดซื้อวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า 26 ล้านโดส ที่ลงนามเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2564 มาให้ตนเท่านั้น แต่ไม่ได้เปิดเผยสัญญาจัดซื้ออีก 35 ล้านโดส ซึ่งเอกสารดังกล่าวล้วนเต็มไปด้วยการถมดำข้อความเอาไว้ จนในที่สุด เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2564 หลังจากเริ่มต้นฉีดวัคซีนไปได้แค่ 6 วัน อธิบดีกรมควบคุมโรคได้ให้สัมภาษณ์ว่าตัวเลข 61 ล้านโดส เป็นเพียงศักยภาพในการฉีด ไม่ใช่จำนวนที่แอสตร้าเซเนก้าต้องส่งมอบ 

จนเดือนมิถุนายน รัฐบาลได้รับการส่งมอบวัคซีนแอสตร้าเซเนก้าเพียง 5.1 ล้านโดส ไม่ตรงตามแผนการส่งมอบเดือนแรก 6.3 ล้านโดส ทำให้มีประชาชนถูกเลื่อนการฉีดวัคซีนจนติดโควิด-19 จนเสียชีวิต และต่อมามีการเปิดเผยโดยผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ว่าแอสตร้าเซเนก้าน่าจะส่งมอบวัคซีนให้รัฐบาลไทยได้เพียง 5-6 ล้านโดสเท่านั้น ไม่เป็นไปตามแผนการจัดหาวัคซีนที่ต้องได้รับเดือนละ 10 ล้านโดส และยังชี้แจงต่ออีกว่าในสัญญากับแอสตร้าเซเนก้า ไม่ได้ระบุไว้ว่าต้องส่งมอบเดือนละเท่าไหร่ 

“เมื่อนำไปเทียบกับสัญญาวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าของสหภาพยุโรป เขาจะมีตารางที่ระบุประมาณการในการส่งมอบวัคซีนแต่ละเดือน ว่าจะมีการส่งมอบเท่าไรบ้าง ผมก็คาดหวังว่าสัญญาถมดำที่รัฐบาลไทยทำกับแอสตร้าเซนเนก้า จะต้องมีตารางในลักษณะคล้ายๆ กันอยู่ในนั้นแน่ๆ แต่สุดท้ายเอกสารที่ผมได้รับมาอีกชุดหนึ่ง เมื่อเปิดออกมา กลับไม่พบตารางอะไรเลย ไม่เห็นยอดประมาณการในการส่งมอบอะไรเลย มาถึงจุดนี้ผมคิดว่าเราต้องยอมรับโดยดุษฎี ว่าสัญญาที่ พล.อ.ประยุทธ์ไปทำเอาไว้ ไม่ได้มีการระบุยอดประมาณการส่งมอบวัคซีนอะไรเอาไว้เลยจริงๆ จนต้องตั้งคำถามกับ พล.อ.ประยุทธ์ ว่าไปทำสัญญาหละหลวมนี้ไว้ได้อย่างไร?” วิโรจน์กล่าว

วิโรจน์อภิปรายต่อไป ว่า ต่อมารัฐบาลจำใจต้องยอมรับกับประชาชนว่าการส่งมอบวัคซีนแอสตร้าเซเนก้า 61 ล้านโดส ได้ขยายกรอบเวลาในการส่งมอบไปที่ 1 พฤษภาคม 2565 โดยในสัญญาไม่ได้มีการระบุว่าต้องส่งมอบทั้ง 61 ล้านโดสภายในปี 2564 และไม่มั่นใจว่าจะสามารถบังคับใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงด้านวัคซีน ในการจำกัดการส่งออกได้หรือไม่ 

ด้านอธิบดีกรมควบคุมโรคให้สัมภาษณ์ว่าในสัญญาการส่งมอบวัคซีนแอสตร้าเซเนก้า ไม่ได้กำหนดว่าต้องส่งมอบเดือนละเท่าไหร่ แผนการจัดหาวัคซีน 61 ล้านโดสเป็นแผนที่รัฐบาลแจ้งแอสตร้าเซเนก้าไป แต่แอสตร้าเซเนก้าไม่ได้ตอบรับและไม่ได้ตอบปฏิเสธ 

จนเอกสารหลุดออกมาปรากฏเป็นข่าวเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2564 ซึ่งเป็นหนังสือที่แอสตร้าเซนเนก้าทำถึงนายอนุทิน ลงวันที่ 25 มิถุนายน 2564 เพื่อแจ้งให้ทราบว่าแอสตร้าเซนเนก้าจะจัดสรรกำลังการผลิตหนึ่งในสามเพื่อส่งมอบวัคซีนให้กับรัฐบาลไทย ซึ่งก็คือประมาณเดือนละ 5-6 ล้านโดส และยอดวัคซีนที่แอสตร้าเซเนก้าจะส่งมอบในตอนนี้ เป็นยอดเกือบสองเท่าจากที่รัฐบาลไทยเคยประเมินความต้องการให้กับแอสตร้าเซเนก้า ที่ประเมินว่าไทยต้องการวัคซีนเดือนละ 3 ล้านโดสเท่านั้น

ส่วนเอกสารยังระบุว่าสัญญาที่สั่งซื้อเพิ่มอีก 35 ล้านโดส เพิ่งลงนามเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคมที่ผ่านมานี่เอง แล้วที่ผ่านมา รัฐบาลกล้าประชาสัมพันธ์ให้กับประชาชนทราบถึงแผนการจัดหาวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า 61 ล้านโดสได้อย่างไร ทั้งที่ยังไม่ได้มีการลงนามจากคู่สัญญาเลย

 

ชี้ รัฐบาลเองเป็นคนกำหนดในสัญญา AZ ไร้เงื่อนไขจำกัดการส่งออก - เปิดฟรีสไตล์ส่งได้ถึงปีหน้า

 

วิโรจน์ยังอภิปรายต่อไป ว่าหากลองพิจารณาจากหนังสือการประชุม ศบค.วันที่ 24 สิงหาคม 2563 เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาอุดหนุนเงินเพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับอุตสาหกรรมการผลิตวัคซีนชนิดไวรัลเวกเตอร์ มีเงื่อนไขในการอุดหนุนว่า “เพื่อให้ประเทศไทยได้รับสิทธิในการซื้อวัคซีนที่ผลิตโดยผู้ผลิตในไทยเป็นอันดับแรกตามจำนวนที่ต้องการ”

อย่างไรก็ตาม มติ ครม.ในการประชุมเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2563 พล.อ.ประยุทธ์กลับไม่ได้ใช้เงินกู้ แต่ใช้อำนาจของตัวเองไปอนุมัติงบกลางในวงเงิน 600 ล้านบาท อุดหนุนให้กับบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์แทน ก็เพราะใช้เงินกู้ก็ต้องยอมรับเงื่อนไขการจำกัดการส่งออกวัคซีน

จากนั้น ยังส่งไม้ต่อให้อนุทิน ไปลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงในการทำสัญญา (letter of intent) เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2563 ยอมรับข้อตกลงการส่งออกโดยปราศจากข้อจำกัดกับบริษัทแอสตร้าเซเนก้าประเทศไทย 

นี่คือเหตุผล ที่ พล.อ.ประยุทธ์และอนุทินมีความอ้ำอึ้ง ไม่กล้าบังคับใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงด้านวัคซีน ในการจำกัดการส่งออกวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าที่ผลิตในประเทศไทย เพราะตัวเองไปตกลงกับเงื่อนไขที่ยอมให้แอสตร้าเซนเนก้าส่งออกวัคซีนที่ผลิตในประเทศไทยได้ โดยปราศจากข้อจำกัดไว้ตั้งแต่แรก 

“วันนั้นนายอนุทินบอกว่า วัคซีนแอสตร้าเซเนก้าจะไม่มีทางถูกตัดคิว ไม่มีทางที่จะมีใครมาแย่ง ไม่มีวันที่จะไม่มาถึงมือของคนไทย เพราะผลิตอยู่ในประเทศไทย จึงเป็นการจงใจหลอกลวงประชาชนอย่างชัดเจน เพราะนายอนุทินรู้อยู่แก่ใจว่า รัฐบาลไม่สามารถจำกัดการส่งออกวัคซีนได้เลย” วิโรจน์กล่าว

วิโรจน์ยังกล่าวต่อไป ว่าเมื่อพิจารณาในสัญญาจองซื้อวัคซีน ที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ได้ลงนามไว้กับแอสตร้าเซนเนก้าประเทศไทย ในส่วนของข้อเสนอโครงการที่อยู่ในภาคผนวก โดยในหัวข้อวัตถุประสงค์เฉพาะ (specific objectives) ได้ปรากฏชื่อของบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ผูกพันเอาไว้ในสัญญาด้วย ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเตรียมศักยภาพในการผลิตวัคซีนให้กับบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ 

หากรัฐบาลจะเติมเงื่อนไขจำกัดการส่งออกวัคซีนที่ส่งออกโดยบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ในสัญญาก็ย่อมทำได้ แต่รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ กลับตัดสินใจและจงใจที่จะไม่ใส่เงื่อนไขนี้ลงไปในสัญญาเอง และเท่ากับว่ารัฐบาลเอาเงินภาษีของประชาชน 600 ล้านบาทไปอุดหนุนบริษัทเอกชน เพื่อให้บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์มีศักยภาพในการผลิตวัคซีนส่งให้กับแอสตร้าเซเนก้าเท่านั้น 

“นี่คือข้อยืนยัน ว่าสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ทำ คือการนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาสร้างความนิยมทางการเมือง โดยไม่คำนึงถึงชีวิตของพี่น้องประชาชนคนไทยเลย โชคดีที่คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้เตือนสติของ พล.อ.ประยุทธ์เอาไว้ ไม่เช่นนั้นแล้วถ้าปล่อยให้ พล.อ.ประยุทธ์พูดคำที่ไม่สมควรพูดซ้ำไปซ้ำมา แทนที่พล.อ.ประยุทธ์จะขอบคุณคุณธนาธร กลับนำมาตรา 112 มาใช้” วิโรจน์กล่าว

 

จงใจตัดขากีดกันไฟเซอร์ ชี้ไทม์ไลน์ติดต่อมานานแล้วแต่ไม่สั่ง ต้องรอคนตายขึ้น 3 พันถึงกลับไปง้อ

 

วิโรจน์อภิปรายต่อไป ว่าในกรณีของวัคซีนไฟเซอร์ ที่มีมติ ครม.ให้จัดซื้อเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2564 มีการเซ็นสัญญาเมื่อวันที่ 20 กรกฏาคม 2564 หรืออีกสามเดือนต่อมา โดยระบุว่าจะเริ่มมีการส่งมอบในปลายเดือนกันยายนนั้น

หากย้อนกลับไปในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ที่นายอนุทินกล่าวเองว่าในสัปดาห์ก่อนหน้านี้ ซึ่งน่าจะเป็นช่วงวันที่ 8-12 กุมภาพันธ์ มีผู้แทนจำหน่ายวัคซีน ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะมีผู้แทนจากไฟเซอร์ด้วย เดินทางมาพบกับนายอนุทิน

ถ้าในวันนั้นหรือเดือนนั้น มีมติ ครม.จัดซื้อวัคซีนจากผู้แทนจำหน่ายที่มาพบกับนายอนุทิน ภายในเวลา 5 เดือน ซึ่งก็ตรงกับที่นายอนุทินระบุว่าผู้แทนจำหน่ายเหล่านั้นจะทำการส่งมอบวัคซีนให้ประเทศไทยได้ภายในไตรมาสสาม ณ เวลานี้เราก็จะได้ไฟเซอร์เข้ามาประเทศไทยตั้งแต่เดือนกรกฎาคมแล้ว 

“และถ้ารัฐบาลไทย โดยสถาบันวัคซีนแห่งชาติที่ติดต่อกับไฟเซอร์มาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2563 ตัดสินใจสั่งซื้อไฟเซอร์ตั้งแต่เดือนมกราคม ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่มีการตัดสินใจซื้อวัคซีนซิโนแวค 2 ล้านโดส ป่านนี้ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เราอาจจะมีวัคซีนไฟเซอร์มาถึงมือแล้วก็ได้” วิโรจน์กล่าว

 

ชี้ มุ่งกีดกันวัคซีนทุกยี่ห้อ เพราะไม่ต้องการให้ใครมาก่อน AZ-SBS - เอาชีวิตประชาชนเดิมพันหาซีนให้ใคร?

 

วิโรจน์ยังอภิปรายต่อไปว่า บางคนอาจจะคิดว่า พล.อ.ประยุทธ์และอนุทินอาจจะขาดสติปัญญา หรือเรียกสั้น ๆ ว่า “โง่” หรือไม่ก็บริหารวัคซีนด้วยความประมาท รู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่สำหรับตนแล้ว พล.อ.ประยุทธ์และนายอนุทินไม่ได้โง่ แต่มีเจตนาที่จะเอาชีวิตของประชาชนทั้งประเทศไปเสี่ยงเดิมพันกับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าที่ผลิตโดยบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ 

เป็นที่ชัดเจน ว่า พล.อ.ประยุทธ์และนายอนุทิน ไม่ยอมซื้อวัคซีนไฟเซอร์มาสำรองเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่ยอมให้วัคซีนยี่ห้อไหนมาก่อนวัคซีนแอสตร้าเซเนก้าที่ผลิตโดยบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ กลัวแย่งซีนวัคซีนที่ตัวเองเลือก จนการระบาดเกิดขึ้นรุนแรง ประชาชนล้มตายเป็นผักปลา ถึงยอมที่จะซื้อวัคซีนไฟเซอร์

แม้แต่โครงการโคแวกซ์ที่มีประเทศมากกว่า 180 ประเทศเข้าร่วม ประเทศไทยก็ไม่คิดจะเข้าร่วม อ้างเหตุผลว่าถ้าเข้าร่วมโคแวกซ์แล้ว ต้องซื้อวัคซีนในราคาที่แพง และอ้างว่าวัคซีนที่จะส่งมอบในโครงการโคแวกซ์ เป็นวัคซีนแอสตร้าเซเนก้าส่วนใหญ่ การเข้าร่วมจะทำให้เราได้วัคซีนแอสต้าเซนเนก้า ซึ่งซ้ำกับวัคซีนที่เราผลิตเองได้

ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าแผนการจัดหาวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า 61 ล้านโดสวันนั้นยังไม่มีการทำสัญญา ไม่มีการลงนามเลย สุดท้ายเมื่อส่งมอบไม่ได้ตามเป้า รัฐบาลต้องไปรับบริจาคแอสตร้าเซนเนก้าจากญี่ปุ่น 1 ล้านโดส รับบริจาคจากอังกฤษอีก 4.15 แสนโดส และยืมจากประเทศภูฏานมาอีก 1.5 แสนโดส ล่าสุดกำลังจะติดต่อประเทศในแถบยุโรปเพื่อขอซื้อต่อวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าและไฟเซอร์ให้ได้เดือนละ 2-3 ล้านโดส 

วิโรจน์อภิปรายว่าทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นเพียงเพราะ พล.อ.ประยุทธ์และอนุทิน ไม่ต้องการให้มีวัคซีนยี่ห้อไหนหรือโครงการอะไรมาตัดหน้าการเข้ามาของแอสตร้าเซนเนก้าที่ผลิตโดยบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์โดยเด็ดขาด เพราะทั้งคู่หมายที่จะใช้วัคซีนที่ผลิตในประเทศ มาสร้างความนิยมทางการเมือง โดยมีฤกษ์งามยามดีฉีดให้ประชาชนในวันที่ 7 มิถุนายน 2564

“พล.อ.ประยุทธ์และนายอนุทินไม่ได้คำนึงถึงชีวิตของประชาชนเป็นที่ตั้ง ในใจคิดแต่จะเอาวัคซีนมาสร้างความนิยมทางการเมืองลูกเดียว  เอาเงินภาษี 600 ล้านบาทไปอุดหนุนบริษัทเอกชน ก็เพียงเพื่อให้บริษัทเอกชนรายนั้นมีศักยภาพที่จะผลิตวัคซีนส่งให้กับแอสตร้าเซเนก้าประเทศไทยได้เท่านั้น ประชาชนที่ล้มตายเป็นจำนวนมาก หลายรายไม่จำเป็นต้องตาย หลายรายไม่ได้ตายเพราะความรุนแรงของโรค แต่ตายเพราะการบริหารจัดการที่ล้มเหลวของ พล.อ.ประยุทธ์และนายอนุทิน ที่จงใจพาชีวิตของประชาชนไปเสี่ยง” วิโรจน์กล่าว

 

หวัง 'ประยุทธ์-อนุทิน' จบที่นรก แต่ก่อนหน้านั้นคือคุกตาราง

 

วิโรจน์อภิปรายทิ้งท้าย ว่า ท่ามกลางการบริหารสถานการณ์โควิด-19 ที่ล้มเหลว จนมีผู้เสียชีวิตได้จำนวนมาก รัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ยังพยายามออก พ.ร.ก. จำกัดความรับผิดสำหรับบุคลากรสาธารณสุขฯ โดยอ้างว่าทำไปเพื่อปกป้องบุคคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้อง แต่ไส้ในกลับสอดแทรกการนิรโทษกรรมตัวเองและพวกที่อยู่ในฝ่ายนโยบายไปด้วย ซึ่งจะทำให้ครอบครัวของผู้ที่เสียชีวิตไปจากการบริหารสถานการณ์ที่ผิดพลาด ไม่สามารถฟ้องร้องเอาผิดฝ่ายนโยบายไม่ได้

การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ และรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของนายอนุทิน ทุก ๆ ชั่วโมงจะมีคนตาย 10 ศพ หรือวันละ 200 กว่าศพ

การแทงม้าตัวเดียว ไม่กระจายความเสี่ยงในการจัดหาวัคซีน นำเอาเงินแผ่นดิน 600 ล้านบาทไปอุดหนุนบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ คิดแต่จะเอาวัคซีนยี่ห้อเดียวมาใช้สร้างความนิยมทางการเมือง กีดกันวัคซีนยี่ห้ออื่นมาโดยตลอด ที่ตัดสินใจซื้อภายหลังก็เพราะจวนตัวจนยื้อไม่ไหว ซ้ำร้ายยังบริหารระบบสาธารณสุขล้มเหลว ดำเนินการฉีดวัคซีนล่าช้า ปล่อยให้ประชาชนมีชีวิตอย่างหวาดหวั่น

“หัวเด็ดตีนขาดทั้งสองคนก็คงจะเลือกทิ้งความเป็นคน ไม่เลือกที่จะทิ้งตำแหน่งแน่ ๆ ให้เขาลาออกจากความเป็นคนยังจะง่ายกว่า  นี่จึงเป็นหน้าที่ของผู้แทนราษฎรทุกคน ที่จะต้องช่วยกันกอบกู้ความหวังของประชาชนให้คืนกลับมา โดยการดึงเอาคนทั้งสองนี้คนจากตำแหน่ง ไม่ให้ก่อกรรมทำเข็ญกับประชาชนได้อีกต่อไป ปลายทางของคนทั้งสอง คงไม่พ้นนรกโลกันตร์ แต่ก่อนหน้านั้นคือคุกตาราง” วิโรจน์กล่าวทิ้งท้าย
 

เอกสารสัญญาแอสตร้าเซนเนก้า เวอร์ชันไม่ถมดำ : https://www.moveforwardparty.org/wp-content/uploads/2021/09/Astra-NVI-contract.pdf?fbclid=IwAR0NHFYzP0NK_zowaQRrglbFZs_FqdxKaaiMndqBvM555EcYObI4ChKjncw