- • เกาหลีใต้ยังห้ามนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ แต่ไม่ห้ามนักเรียน-นักธุรกิจ
- • ผู้เดินทางต้องมีวีซ่าและผลตรวจสุขภาพ พร้อมโหลดแอปฯ รายงานตัว
- • ซิมโทรศัพท์เกาหลีใต้คือสิ่งจำเป็น แต่กลายเป็นของหายากช่วงโควิด-19
- • การกักตัว State Quarantine ในเกาหลีใต้ มีค่าใช้จ่ายราว 40,000 บาท
- • “ห้องพักสะอาด เตียงนุ่มพร้อมนอน น้ำอุ่น เน็ตแรง คือแสงสว่างของชีวิต”
- • ควรซื้อประกันโควิด-19 ด้วย เพราะถ้าพบว่าติดเชื้อ ต้องจ่ายค่ารักษาเอง
::: การเดินทางสู่เมืองในฝันของคอซีรีส์ :::
การเดินทางเข้าประเทศเกาหลีใต้ไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป โดยเฉพาะในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทางสถานทูตเกาหลีในประเทศไทยประกาศชัดเจนว่าถ้าหากไม่มีความจำเป็นจริงๆ ก็ไม่สามารถเดินทางเข้าประเทศได้ แถมคนที่จะเดินทางเข้าประเทศจริงๆ ยังต้องขอวีซ่าแบบ 100% ใช้เอกสารจำนวนมาก หลายขั้นตอน
กรณีของตัวเองคือของวีซ่านักเรียน (D-2-3) ต้องขอตั้งแต่รายการเดินบัญชีธนาคาร เอกสารรับรองจากมหาวิทยาลัยในเกาหลีใต้ ใบจบจากมหาวิทยาลัยในไทย ผลตรวจสุขภาพ สำเนาทะเบียนบ้านที่ต้องผ่านการรับรองจากกรมการกงศุล และการคัดประวัติหนังสือเดินทางซึ่งกรมการกงศุลไทยให้เรารอเอกสารครึ่ง A4 เกือบสิบวัน หรือเอกสารอื่นๆ โดยรอการพิจารณาอนุมัติวีซ่าอีกครึ่งเดือน แต่นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้น เพราะด่านต่อไปคือ ‘โควิด-19’ !!!
ประเทศเกาหลีใต้มีประกาศให้ผู้ที่จะเดินทางเข้าประเทศต้องตรวจโควิดก่อนเดินทาง 3 วัน และก่อนเดินทางเข้าประเทศจำเป็นต้องโหลดแอปพลิเคชันสำหรับรายงานอากาศและอุณหภูมิร่างกายระหว่างกักตัวสำหรับคนที่ได้รับอนุญาตให้ ‘Self Isolation’ (กักตัวเอง) เช่น นักเรียน หรือคนที่มีสามีภรรยาในเกาหลี เป็นต้น หรือคนที่ต้องมากักตัวใน State Quarantine ก็อาจจะต้องเสียค่าใช้จ่ายราวๆ 40,000 บาทขึ้นอยู่กับโรงแรม ซึ่งของผมเป็นการกักตัว State Quarantine เนื่องจากมหาวิทยาลัยไม่ได้จัดเตรียมพื้นที่ให้กักตัวเอง แต่โชคดีที่ทางมหาวิทยาลัยจ่ายค่าใช้จ่ายส่วนนี้ให้
เอาเป็นว่าชัดเจนแล้วว่าไปถึงต้องเจออะไร เราก็เตรียมตัวเตรียมใจไปพอสมควรก่อนก้าวเท้าขึ้นเครื่องบิน แต่ที่สำคัญคือเตรียม ‘ประกันโควิด’ ไปด้วยจะดีมาก เพราะประกาศของสถานทูตเกาหลีในเว็บไซต์ระบุให้ผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ หากพบว่าติดเชื้อโควิดก็ต้องจ่ายค่ารักษาเอง
::: ความโกลาหลที่สนามบินอินชอน ‘คุยคนละเรื่องเดียวกัน’ :::
เวลาประมาณ 8 โมงเช้า เราเดินทางถึงสนามบินอินชอน พร้อมกับคนไทยจำนวนหนึ่ง และคนเกาหลีจำนวนหนึ่ง และที่สำคัญคือนักกีฬาแบดมินตันทีมชาติที่เพิ่งแข่งขันเสร็จ (เราแอบนึกในใจว่าพวกเขาได้มีโอกาสตรวจโควิดแบบ PCR ก่อนขึ้นเครื่องไหมหนอ) แต่โดยรวมคือคนน้อยจนแทบจะนั่งได้ 2 แถวหนึ่งคน และในสนามบินเองก็ไม่จอแจเหมือนเคย แถวที่เคยต่อคิวผ่าน ตม. ก็สั้นลง และดูไม่น่ากลัวว่าจะถูกจับเข้าห้องเย็นเหมือนสมัยก่อน แต่สิ่งที่เพิ่มเติมมาคือ ก่อนผ่าน ตม. เราจะต้องผ่านจุดตรวจเอกสารผลตรวจโควิดก่อน
จากนั้นก็มาผ่านจุดที่บังคับให้ทุกคนโหลดแอปพลิเคชันกักตัว และจุดที่จะต้องเช็กกับสถานที่ที่เราจะไปกักตัวว่ามีการกักตัวจริงๆ หลังจากนี้ ซึ่งปัญหาก็คือเราจำเป็นต้องมี USIM หรือเบอร์มือถือที่ใช้ในเกาหลีใต้ก่อน ไม่อย่างนั้นก็จะโกลาหลวุ่นวาย แต่ก็ด้วยความที่ปิดประเทศกันมาสักพักใหญ่ การหาซิมนี้ในไทยจึงยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร สุดท้ายก็เลยต้องมาติดอยู่ด่านนี้เกือบชั่วโมง เพื่อรอให้เจ้าหน้าที่ที่สนามบินโทรหาเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัย แล้วจากนั้นก็จะโทรหาโรงแรมที่เป็น State Quarantine ต่อ จนเก็ตว่าโอเค นักเรียนคนนี้ไม่ได้ Self Isolation แต่เป็น State Quarantine แทน
ซึ่งการไม่มีเบอร์มือถือก็จะเป็นปัญหาตรงที่ในแอปพลิเคชันการกักตัวที่ทางการเกาหลีใต้บังคับโหลด ต้องใส่เบอร์มือถือ สุดท้ายก็ต้องใส่เบอร์มหาวิทยาลัยเข้าไปแทนแบบงงๆ จากนั้นจึงจะผ่านไปสู่รอบ ตม. - รับกระเป๋า – ศุลกากร ตามปกติ แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาหลังเดินออกคือ จุดเช็กความเรียนร้อยของเอกสารกักตัวจากข้างใน
จากนั้นเจ้าหน้าที่จะพาเราไปจุดบริการแท็กซี่ เพราะมีข้อบังคับว่าเราต้องนั่งรถ Private Car เท่านั้นเพื่อไปกักตัว ราคาเหมาก็ราวๆ 70,000 วอน หรือเกือบสองพันบาท จากนั้นคนขับรถก็จะพาเราไปจุดที่ต้องลงชื่อและเบอร์โทรว่าคนๆ นี้ออกจากสนามบินกี่โมง ซึ่งพอเราไม่มีเบอร์ก็ยิ่งยาก แถมยังฟังภาษาเกาหลีใต้ไม่รู้เรื่อง เจ้าหน้าที่ตรงจุดนี้ซึ่งถือว่าเป็นจุดสุดท้ายก็บอกให้คนขับพาเราไปตรวจโควิดอีกรอบที่โรงพยาบาลก่อน แต่เอ๊ะ! เขาเข้าใจว่าเราเป็นนักเรียนก็ต้อง Self Isolation ใช่ไหม แต่เจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยบอกให้เราไปโรงแรมเลย เพราะต้องเข้า State Quarantine ไม่ใช่เหรอ แต่การเจรจาไม่เป็นผล สุดท้ายเราก็ต้องนั่งรถไปโรงพยาบาลแบบงงๆ รอจนกว่าจะสามารถติดต่อกับเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยได้ แล้วค่อยให้คุยกับคนขับถึงจะเข้าใจและเปลี่ยนเส้นทางไปโรงแรมที่จะกักตัว
::: ห้องพักสะอาด เตียงนุ่มพร้อมนอน น้ำอุ่น เน็ตแรง คือแสงสว่างของชีวิต :::
ที่ผ่านมาคือน้ำจิ้ม ประสบการณ์จริงกำลังจะเริ่มต้นขึ้น! โรงแรมที่กักตัวมีการกั้นรั้วสูงมิดชิดพอๆกับกระทรวงต่างๆ ในประเทศไทยช่วงที่มีม็อบราษฎรบุกทำเนียบ รถที่จะเข้าไปได้ต้องแจ้งทะเบียนและโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ก่อนถึงจึงจะเปิดประตูให้เข้าไป จากนั้นจะมีเจ้าหน้าที่ใส่ชุด PPE มารับเราจากรถไปสู่ห้องชั้นล็อบบี้ ห้องนี้จะให้เราโหลดแอปพลิเคชั่นอีกอันสำหรับ State Quarantine
อ้าว! แล้วแอปฯ อันแรกที่แสนจะวุ่นวายกว่าจะลงทะเบียนได้คือสูญเปล่า ไม่ต้องใช้
แต่ทั้งสองแอปฯ นี้มีหน้าที่เหมือนกันคือเอาไว้ให้เรากรอกอุณหภูมิร่างกายในช่วงกักตัวทุกวัน และเช็กว่ามีอาการป่วยหรือไม่ และแน่นอนคือ แม้เราจะไม่ต้องไปโรงพยาบาล แต่ยังไงเราต้องตรวจ PCR โดยการแยงจมูกอีกครั้งก่อนเริ่มกักตัว จากนั้นเจ้าหน้าที่ของโรงแรมในชุด PPE ก็จะเอาเอกสารมาให้เราเซ็นยินยอมซึ่งในเอกสารระบุว่าเราต้องกักตัวทั้งหมด 15 วัน คือนับตั้งแต่วันที่เดินทางมาถึงเป็นวันที่ 1 ไม่ใช่ 14 วันอย่างที่เข้าใจ และหากออกมานอกห้องกักตัวจะมีความผิดและต้องจำคุก ถูกส่งกลับประเทศ
ส่วนในห้องพักที่เราต้องอาศัยอยู่ครึ่งเดือนก็มีอุปกรณ์จำเป็นต่างๆ ตั้งแต่กาน้ำร้อน ไดร์เป่าผม เครื่องวัดอุณหภูมิแบบดิจิทัล ทีวี ตู้เย็น สบู่ ยาสระผม สบู่ซักผ้าและราวตากผ้า เตียงนอนใหญ่ 2 เตียง ผ้าเช็ดตัวและเช็ดผม 2 ชุด เพราะจะไม่มีการเข้ามาทำความสะอาดห้องระหว่างกักตัว และไม่มีบริการซักรีด พร้อมน้ำเปล่า 3 ขวดเล็กและ 1 ขวดใหญ่ ส่วนอาหารก็จะเสิร์ฟไว้หน้าห้อง 3 มื้อต่อวัน คือ 8.00 น. 12.00 น. 18.00 น. และเก็บขยะทุกๆ 19.00 น. และที่ประทับใจสุดๆ คือ อินเทอร์เน็ตโอเค ดูหนังไม่สะดุด โหลดหนังได้แต่อาจใช้เวลาสักหน่อย 1-2 ชั่วโมงต่อเรื่อง เอาเป็นว่าโดยรวมน่าจะอยู่ได้สบายๆ แบบไม่มีปัญหาอะไร
::: ใครชอบอาหารเกาหลี เชิญทางนี้จ้า :::
พอเริ่มอยู่ไปเรื่อยๆ ปัญหาอย่างหนึ่งคือความแห้งของอากาศ เนื่องจากช่วงที่ไปเป็นปลายหน้าหนาว อากาศข้างนอกยังหนาวแบบติดลบ บางวันลมแรง บางวันหิมะตก ทำให้ผิวแห้ง ปากแตก และจมูกเลือดออก เราต้องปรับ Room Manager ในห้องมีอุณหภูมิที่อุ่นขึ้น และก็มีคนแนะนำให้เอาน้ำใส่แก้วไปวางไว้ตามที่ต่างๆ เพื่อเพิ่มความชื้นในห้อง และต้มน้ำร้อนบ่อยๆ เพื่อให้มีไอน้ำ ปัญหาต่อมาคือการกินและนอน ทำให้เราไม่ค่อยหิว อาหาร 3 มื้อเลยดูเหมือนเกินความจำเป็น
แต่ปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นก็คือว่า อาหารที่เสิร์ฟถ้าไม่รีบกินก็จะยิ่งชืด เพราะกว่าจะมาถึงหน้าห้องและเปิดไปหยิบได้ก็เย็นระดับหนึ่งแล้ว ทั้งข้าวดและน้ำซุป ส่วนอาหารนี่ไม่ต้องหวัง บางมื้อคือเป็นไข เป็นวุ่นแบบแกงกระด้างภาคเหนือ และอาหารส่วนใหญ่จะเป็นพวกผัดๆ เสียด้วย และห้องพักก็ไม่มีไมโครเวฟ
ในอาหาร 1 มื้อก็จะประกอบด้วย ข้าว 1 ถ้วย ซุป ผักดองสามอย่างสลับสับเปลี่ยนกันไปเช่น กิมจิ หัวไช้เท้าดอง ถั่วแดง กุ้งแห้งราดซอสหวาน สาหร่าย (ค่อนข้างคาว) ถั่วงอกผัด ผักโขมผัด ไชโป๊ว ฯลฯ ขนมเค้กชิ้นเล็กๆ ผลไม้สดหรือผลไม้แช่อิ่มสลับกันไป บางวันก็จะเป็นผลไม้ฟรีซ เช่น ลิ้นจี่ หรือเงาะ สลัดผัก และกับข้าวสองอย่าง เช่น ปลาราดซอส ไก่ผัด เนื้อผัด ซึ่งของพวกนี้พอไม่ร้อนแล้วก็ค่อนข้างคาวใช้ได้เลยทีเดียว แต่มื้อเช้านี่ค่อนข้างยากสำหรับใครหลายคนที่ไม่กินผัก เพราะเขาจะเสิร์ฟ ชาหรือกาแฟซอง มาพร้อมกับขนมปัง เนยและแยม ขนมเค้กชิ้นเล็ก พร้อมกับซุปข้นหรือซุปเกาหลีสลับกันไป เช่นเดียวกับสลัดผักที่จะเสิร์ฟเว้นวันสลับกับสาหร่าย ที่เหลือก็คือข้าว และผักดอง 3 อย่าง ไม่มีกับข้าวอย่างอื่น แต่ข้อดีก็คือผักดองและซุปพวกนี้ ไม่คาวและไม่เป็นไข เรียกว่าลบภาพจำอาหารเกาหลีในใจที่เคยวาดฝันกันเลยทีเดียว
การแก้ปัญหาเรื่องอาหารที่ค่อนข้างจะกินยาก หากไม่ร้อนก็คือ อาศัยเอาใส่ถ้วยซุป แล้ววางบนกาน้ำร้อน โดยเปิดฝาให้ไอน้ำที่ลอยออกมาอุ่นอาหารให้ร้อนขึ้น แต่ก็แทบจะไม่ได้ผล เพราะเป็นพลาสติก แถมยังละลายในความร้อนได้อีก ทางที่ดีคืองัดเอาอาหารสำเร็จรูปในซองที่พกมาเปิดกินแทน แต่สำหรับใครที่เป็นอิสลาม ทานอาหารฮาลาลเท่านั้น งานนี้จะค่อนข้างยาก เพราะโรงแรมที่เลือก ไม่มีอาหารฮาลาล ต้องเสิร์ฟมังสวิรัติแทน
มีโอกาสได้เห็นอาหารของเพื่อนมุสลิมที่มาเรียนและกักตัวที่เดียวกัน แล้วทำให้เรารู้สึกสงสารตัวเองน้อยลง เพราะอาหารของเขาเศร้ากว่าเรามาก มีแค่ แซนวิช ข้าวเปล่า สลัดผัก ผักดอง 3 อย่าง และเต้าหู้ หรือบางมื้อก็เป็นแกงกะหรี่เต้าหู้ วนๆ โชคยังดีที่โรงแรมนี้ใจดี ให้ขนม และน้ำผลไม้เรื่อยๆ มีทั้ง ขนมเค้กใส่ครีมคัสตาร์ด ขนมที่หน้าตาเหมือนชินมัย และแซนวิชเค้กเคลือบช็อกโกแลตไส้มาชเมลโล กับพวกน้ำผลไม้ต่างๆ เช่น น้ำมะม่วง น้ำส้ม น้ำแอปเปิ้ล น้ำนมถั่วเหลือง และน้ำเปล่าที่จะให้อย่างน้อยมื้อละขวด สามารถโทรขอเพิ่มได้
::: มาตรการเข้มงวด ทำให้เรารู้สึกปลอดภัย :::
ด้วยความสงสารเพื่อนก็เลยกด 0 โทรถามเจ้าหน้าที่โรงแรมว่าสามารถแบ่งอาหารซองสำเร็จรูปให้เพื่อนบ้างได้ไหม ทางโรงแรมไม่อนุญาต โดยระบุว่าห้ามส่งของอะไรก็ตามให้กันและกัน ส่วนสิ่งจำเป็น เช่น ถ่านรีโมต ถุงขยะ สเปรย์ฆ่าเชื้อ เจลล้างมือ ทิชชูเปียก หน้ากากอนามัย สายคล้องคอ และสติกเกอร์วัดอุณหภูมิ ทางโรงแรมจะมีเจ้าหน้าที่สุด PPE เอามาให้ในวันแรก
นอกจากนี้โรงแรมยังมีการฉีดพ่นฆ่าเชื้อทุกวันหลัง 19.00 น. หลังจากทุกห้องเอาขยะข้างในมาวางหน้าห้อง และค่อยเก็บขยะอีกครั้ง เจ้าหน้าที่ทุกคนที่ต้องเกี่ยวข้องกับคนที่มากักตัวจะใส่ชุด PPE และเลี่ยงการพบกับผู้กักตัว เช่น ก่อนมื้ออาหารจะมีการประกาศให้ทุกห้องทราบว่าจะมีการเสิร์ฟอาหารที่หน้าห้อง และหลังจากเสิร์ฟเสร็จจึงจะประกาศให้เปิดประตูมาหยิบได้ มีเจ้าหน้าที่จับตาดูทางเดินตลอดเวลา หากมีคนออกมานอกห้อง จะประกาศเตือนให้กลับเข้าไปในห้องทันที
ในระหว่างการกักตัวที่เราต้องการกรอกอาการและอุณหภูมิร่างกายในแต่ละวันผ่านแอปฯ โดยแอปฯ นี้จะขึ้นเตือนที่มุมซ้ายบนตลอดเวลาเหมือนเราเปิดค้างไว้และไม่ได้ปิดจนกว่าจะครบ 14 วันสัญญาณมุมซ้ายบนก็จะหายไปเอง แต่อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เราอยู่ในประเทศเกาหลีใต้ จะมีการแจ้งเตือนฉุกเฉิน ‘Emergency Alert’ ว่าบริเวณใกล้ที่เราอยู่มีการติดเชื้อมากน้อยแค่ไหน และที่ไหนบ้าง และให้คนที่อยู่ในสถานที่นั้นไปตรวจได้ฟรีที่ไหน อย่างไร
ส่วนการเดินทางออกจากสถานที่กักตัวหลังครบกำหนด ทางโรงแรมจะนับตั้งแต่เที่ยงคืนวันที่ 14 คือสามารถ check out ได้ ตั้งแต่ 00.00 น./ 09.00 น./ 13.00 น./ และ 16.00 น. ของวันที่ 15 ซึ่งก่อนหน้านั้นจะมีเจ้าหน้าที่มาตรวจ PCR อีกครั้งวันที่ 13 และผลตรวจต้องเป็นลบ วันที่ 14 จะมีเจ้าหน้าที่โทรมายืนยันเวลาออก และมื้อเย็นจะมีจดหมายแจ้งเวลาเดินทางออก
ก่อนเวลาเดินทางออกในวันที่ 15 จะมีเจ้าหน้าที่โทรมาแจ้งเวลาเดินทางออก โดยจะต้องลงลิฟท์ไปชั้นใต้ดินที่เป็นลานจอดรถ เพื่อไม่ต้องผ่านล็อบบี้ชั้น 1 ที่มีผู้ทยอยเดินทางมากักตัว และมีเจ้าหน้าที่ตรวจพาสปอร์ตก่อนที่จะขึ้นรถที่มารอรับ นั่นคือวันกลับก็ต้องมีรถส่วนตัวมารับอีกเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงกับสัมผัสคนให้มากที่สุด เรียกว่าแม้การกักตัวจะค่อนข้างน่าเบื่อและต้องทนกินอาหารที่เลือกไม่ได้ และไม่มีบริการรับซื้อของจากข้างนอกเข้ามาให้ แต่เราก็มั่นใจในความปลอดภัยได้แน่นอน
เรื่อง/ภาพ: อรรถชัย หาดอ้าน นักศึกษาไทยที่ได้ทุนไปเรียนต่อปริญญาโทในเกาหลีใต้