พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคก้าวไกล อภิปราย พ.ร.บ.ร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 วาระที่ 1 โดยระบุว่า ขอเริ่มต้นด้วยคำถามว่า 'ลึกลงไปในใจท่านนั้น' หลังจากที่ฟังอภิปรายกันมา 3 วัน 3 คืน เชื่อจริงๆ หรือว่า งบประมาณ 3.1 ล้านล้านบาท ฉบับนี้ จะนำพาประชาชนออกจากวิกฤตที่หนักหนาสาหัสนี้ได้จริง ที่ต้องตั้งคำถามอย่างนี้เพราะในมุมมองของตนมองว่าจากนี้อาจจะไม่มีอีกแล้ว ประเทศไทยแบบเดิมๆ ที่เรารู้จักกัน หลายสิ่ง หลายอย่าง จะไม่กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว เราอาจจะต้องมา ช่วยกันเก็บกวาดซากปรักหักพังของประเทศไทยยุคเก่า และเริ่มมานับหนึ่งกันใหม่ หยิบอิฐทีละก้อนมาก่อร่างสร้างประเทศของเรากันใหม่
“เราอาจจะต้องมานับหนึ่งกันใหม่กับระบบสาธารณสุขไทย ไม่ใช่เพียงแค่ การรับมือกับโรคระบาด ปัจจุบัน แต่อาจจะเป็นการเตรียมรับมือกับเชื้อโรคอีกมากมายหลายชนิดในอนาคต ที่จะมาท้าทายความมั่นคงทางสาธารณสุขอย่างไม่หยุดหย่อน เราอาจจะต้องมานับหนึ่งกันใหม่กับระบบทุนนิยมไทย ไม่ใช่เพียงแค่แก้ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ ณ ปัจจุบัน ที่ต้องหยุดชะงักลง เพราะโควิด แต่แก้ที่เค้าโครงเศรษฐกิจที่กระจุกตัวมากเกินไป พอเศรษฐกิจ กระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพ กว่า 45% เมื่อกรุงเทพเป็นอัมพาต เศรษฐกิจทั้งประเทศก็เป็นอัมพาต เราอาจจะต้องมานับหนึ่งกันใหม่กับวิธีคิดเรื่อง สวัสดิการของประเทศ เพราะช่องว่างทางสังคมที่กว้างขึ้น ก้นเหวทางเศรษฐกิจที่ลึกลง ไม่ใช่เพียงแค่จากโควิดในครั้งนี้เพียงอย่างเดียว แต่มาจากความท้าทายอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น วิกฤติสังคมสูงวัยแบบเต็มรูปแบบ วิกฤติภาวะโลกร้อน ปัญหาสิ่งแวดล้อม Digital disruption และ automation”
พิธา ระบุว่า ไม่ว่าจะพร้อมหรือไม่พร้อม ต้องยอมรับความจริงว่า ยุคสมัยได้เปลี่ยนไปแล้ว แต่พออ่านงบประมาณ 2 ลัง 2 หมื่นกว่าหน้าฉบับนี้ บอกได้คำเดียวว่า ไม่มีความหวัง ไม่มีทางเลยที่ประเทศไทยจะหลุดออกจากวิกฤติและความอึดอัดทรมานครั้งนี้ไปได้
“หากพรรคก้าวไกลจัดทำงบประมาณ พวกเราจะต้องเอาประชาชนมาเป็นที่หนึ่ง เหนือสิ่งอื่นใด หลักคิดของเราก็คือ เราต้องเริ่มจากคนที่เปราะบางที่สุดของสังคมไทย คิดจากมุมมองของเด็กที่หิวโหย คนแก่เฒ่าที่เจ็บป่วย คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ทำงาน 2-3 งาน จนสายตัวแทบขาดเพื่อที่จะส่งลูกเรียนหนังสือ เราจะร่างจากฐานคิดที่ว่า รัฐจะโอบอุ้มคนกลุ่มนี้ได้อย่างไร และฐานคิดนี้จะเป็นเสาหลัก เป็นอิฐก้อนแรกในการ 'ฟื้นฟูประเทศไทย' นับจากวันนี้เป็นต้นไป”
พิธา ระบุว่า ในความเป็นจริงอิฐก้อนแรกคือ งบประมาณสวัสดิการประชาชน แต่กลับถูกตัดลงถึง 35,000 ล้านบาท นี่คือฉากเริ่มต้นของความโหดร้ายของงบประมาณฉบับนี้ อิฐก้อนต่อไปในการสร้างบ้านใหม่ ก็คือการดูแลเด็กๆ รัฐบาลนี้ประกาศตั้งแต่ปี 2563 ว่าจะให้สวัสดิการเด็กนั้นเป็นสวัสดิการถ้วนหน้าซึ่งจะต้องใช้งบประมาณ 3 หมื่นล้านบาท แต่ปีนี้ก็ยังจัดมาแค่ 17,000 ล้านบาทเท่านั้น อิฐก้อนถัดมาคือด้านการศึกษา เมื่อเกิดวิกฤติโควิดทำให้พ่อแม่ตกงาน มีปัญหาเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษาตามมา แต่ที่รับไม่ได้มากที่สุดคือ ความไม่แยแสใดๆ ของรัฐบาลต่อวิกฤติทางการศึกษาในครั้งนี้ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ที่มีภารกิจในการช่วยเหลือดูแลกลุ่มเป้าหมายที่อาจจะด้อยโอกาสให้ได้รับการศึกษา ในช่วงวิกฤตแบบนี้กลับถูกตัดงบ 400 ล้านบาท หมายความว่า เด็กกว่า 7 แสนคนที่เคยได้รับการสนับสนุนจากกองทุนนี้ในปีที่แล้ว จะไม่ได้รับความช่วยเหลือในปีนี้
“อยากจะรู้ว่าคนที่จัดงบมาแบบนี้ เขาข่มตานอนหลับตอนกลางคืนได้อย่างไร เมื่อต้องเห็นความฝันเด็กๆ เกือบล้านคนต้องแตกสลาย แล้วแบบนี้ เราจะให้คนรุ่นใหม่มีความหวังกับรัฐบาลนี้ ไม่อยากย้ายประเทศกันเป็นแสน เป็นล้านคน ได้อย่างไรกัน”
พิธา กล่าวว่า อิฐก้อนต่อไปเป็น งบสาธารณสุข ในปี 2565 เป็นปีแห่งการฟื้นฟูประเทศจากโควิด สิ่งที่รัฐบาลต้องเตรียมคือ ‘วัคซีนเข็มที่สาม’ เพราะประมาทเลิ่นเล่อมาหลายครั้ง แต่จะฟื้นฟูประเทศได้เพราะงบกระทรวงสาธารณสุขถูกตัดไป 4,000 ล้านบาท และงบบัตรทองถูกตัดไปอีก 2 ,000 ล้านบาท ทั้งที่คาดว่าจะมีผู้ตกงานมากขึ้นและจะมีผู้หลุดออกจากระบบประกันสังคมเข้ามาใช้บัตรทองมากยิ่งขึ้น ตรงกันข้าม ในสถานการณ์แบบนี้ ควรจะขยับเพดานให้สวัสดิการของประชาชนธรรมดากับสวัสดิการข้าราชการให้ไม่แตกต่างกันมากอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
ส่วนในด้านเศรษฐกิจ จำเป็นที่จะต้องจัดการงบประมาณภาคเกษตรเสียใหม่ แม้ปีนี้งบประมาณที่กระทรวงเกษตรฯ ได้รับในภาพรวมเท่าเดิม แต่ในรายละเอียด งบประมาณของเกือบทุกกรมลดลง ยกเว้นอยู่กรมคือ กรมชลประทานที่มีงบประมาณมากขึ้นและสูงถึง 77,000 ล้านบาท ซึ่งมากกว่างบของกระทรวงแรงงานและกระทรวงยุติธรรมรวมกันเสียอีก ทั้งที่ขณะนี้เป็นช่วงเวลาที่กระทรวงแรงงานต้องการงบประมาณดูแลคนตกงานนับล้านคน ส่วนกระทรวงยุติธรรมต้องใช้งบดูแลผู้ต้องขังที่โควิดระบาดหนัก ในรายละเอียดของกรมชลประทาน พบว่าใช้เงินปีละเกือบ 8 หมื่นล้าน แต่ตั้งเป้าหมายเก็บน้ำเล็กน้อย ไม่ตรงกับความต้องการและศักยภาพพื้นที่ คิดแต่จะสร้างอย่างเดียว หากยังทำแบบนี้ ประเทศไทยก็ต้องใช้เวลาอีกนับร้อยปีถึงจะจัดการปัญหาน้ำของประเทศได้ ซึ่งถ้าพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล จะต้องกระจายอำนาจในการบริหารการจัดน้ำ เพราะคนท้องถิ่นย่อมรู้ดีกว่าศูนย์กลางว่าเขาต้องการน้ำ ขนาดไหน ที่ไหน อย่างไร จะไม่ยอมให้งบประมาณน้ำมากมายมหาศาลขนาดนี้ มากระจุกตัวอยู่กับการทำโครงการขนาดใหญ่ เขื่อนใหญ่อีกต่อไป และน้ำท่วมน้ำแล้งในประเทศจะได้ดีขึ้นเสียที
นอกจากนี้ ด้านการเกษตร ยังจำเป็นต้องเริ่มกลัดกระดุมเม็ดแรกให้ถูกต้อง ซึ่งกระดุมเม็ดแรกก็คือปัญหาที่ดิน มากกว่าครึ่งเป็นของรัฐบาลโดนประกาศพื้นที่ป่าทับที่ดินทำกินของชาวบ้านที่อยู่มาก่อน จนสร้างปัญหาตามมาเป็นคดีความหลายหมื่นคดี งบประมาณที่ดินจะต้องสะท้อน จินตนาการใหม่ของที่ดินไทย เป็นงบประมาณที่จัดแบบเชิงรุกเพื่อเร่งแก้ไขปัญหาที่ดิน ต้องเลิกแนวคิดแบบที่อังกฤษมาสอนในยุคล่าอาณานิคม โดยให้กรมป่าไม้ผูกขาดป่าทั้งหมด เพื่อให้สัมปทานกับเจ้าเดียว ต้องเลิกความคิดที่อเมริกาสอนช่วงสงครามเย็นว่าต้องไล่คนออกจากอุทยานให้หมด แต่ต้องทำตามโมเดลของโลกปัจจุบันที่ยกระดับไปให้ถึงการรับรองสิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากร
พิธา ยังชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องมี ‘บ้านงบประมาณใหม่’ แต่จะเป็นจริงไม่ได้เลย ถ้าอำนาจการตัดสินใจ ทรัพยากร ยังกระจุกตัว อยู่กับ ‘รัฐราชการรวมศูนย์’ ซึ่งการกระจายอำนาจคือหัวใจสำคัญ แต่ต่อให้สภาผู้แทนราษฎรเห็นด้วยกับการกระจายอำนาจทั้งสภาก็คงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ หากไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับโครงสร้างอำนาจที่อยู่เบื้องหลังระบบราชการรวมศูนย์คือ นายทุน ขุนศึก ศักดินา ที่ปรารถนาจะแช่แข็งประเทศไทยเอาไว้ในโครงสร้างที่ตนเองอยู่บนยอดสูงสุดของปิระมิด
“ประเทศไทยจะเปลี่ยนไปได้ ทหารจะต้องอยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือน ไม่ใช่รัฐบาลพลเรือนอยู่ใต้ทหาร งบกลาโหม กอ.รมน. และงบความมั่นคงที่กระจายอยู่ตามองคาพยพต่างๆ ของรัฐไทย ที่ทำกันมาตั้งแต่ยุคสงครามเย็นต้องถูกยกเลิก กองทัพจะต้องเลิกจัดงบประมาณมาทำสงครามกับประชาชนเพื่อ ปราบปรามคนที่เห็นต่างทางการเมือง กองทัพจะต้องเลิกจัดซื้อยุทโธปกรณ์ที่ไม่จำเป็นในวันที่โรงพยาบาลขอรับบริจาคเครื่องช่วยหายใจ งบประมาณความมั่นคงทางทหารจะต้องไม่เบียดเบียนสวัสดิการพลเรือน รบกวนภาษีประชาชน โดนเฉพาะอย่างยิ่ง ในยุคสมัยใหม่ที่ประชาชนต้องการวัคซีน ไม่ใช่กระสุนอีกต่อไป”
พิธา ย้ำว่า หากตนเป็นนายกรัฐมนตรีในวันนี้ จะพยายามอย่างมากที่สุดเท่าที่ทำได้ ในการปลดปล่อยงบอาวุธภาระผูกพันเหล่านี้กว่า 20,000 ล้านบาท ในช่วงเวลาที่เราต้องใช้งบเพื่อสุขภาพมากกว่าความมั่นคงต้องมีการเจรจา เช่น สหรัฐอเมริกา เราควรเจรจากับประธานาธิบดีโจ ไบเดน ในฐานะพันธมิตรประเทศแรกๆ ของสหรัฐฯ ในทวีปเอเชีย เพื่อขอยกเว้นภาระผูกพันการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ทั้งหมด ซึ่งก็เป็นสิ่งที่รัฐมนตรีท่านหนึ่งเคยทำมาแล้วในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง เพื่อประโยชน์ของชาติบ้านเมือง
"ท้ายที่สุดนี้ ผมมีคำถามฝากถึงท่านประธานผ่านไปยังพรรคร่วมรัฐบาลว่า ที่ทุกท่านร่วมอภิปรายกับพวกผมตลอด 3 วัน 3 คืน ที่ผ่านมา ร่วมวิพากษ์วิจารณ์การตัดงบ กระทรวงสาธารณสุข ศึกษาธิการ และสวัสดิการต่างๆ ท่านอยากได้งบประมาณเหล่านี้คืนไป จริงหรือไม่"
"ถ้าท่านอยากได้งบประมาณคืนให้กับประชาชนของท่าน ผมมีข้อเสนอใน ระยะสั้น คือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้ทรงเกียรติทั้งหลายในสภาแห่งนี้ ต้องร่วมกัน ‘คว่ำ’ ร่างงบประมาณปี 65 เพื่อให้กรอบงบประมาณปี 64 นำมาใช้ไปพลางก่อน แล้วเมื่อนั้นกระทรวงสาธารณสุขจะได้งบประมาณเพิ่มขึ้น 4 พันล้านบาทในทันที กระทรวงศึกษาธิการก็จะได้รับงบเพิ่มขึ้น 2.4 หมื่นล้านบาทในทันที ท่านอยากได้งบการศึกษาคืนให้กับเด็กที่ยากจนจริงหรือไม่ อยากได้งบประกันสุขภาพคืนให้คนแก่เฒ่าที่เจ็บป่วย จริงหรือไม่ หรือที่ทุกท่านอภิปรายมา 3 วัน 3 คืนนี้ เป็นเพียงลิเกโรงใหญ่ ที่ท่านเอาไว้ต่อรองผลประโยชน์เอาตำแหน่ง วัคซีน สัมปทาน สร้างตึกหรือโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้า"
“สิ่งเหล่านี้คือการเมืองเก่าที่ดำรงอยู่มาเป็นเวลานานในประวัติศาสตร์ไทย ที่พูดต่อหน้าประชาชนแบบหนึ่ง พอไปคุยลับหลังประชาชน ต่อรองผลประโยชน์กันลงตัวเมื่อไหร่ การกระทำกลับออกมาเป็นอีกแบบหนึ่ง แน่นอนว่าเอกสิทธิ์เป็นของท่าน ในฐานะผู้แทนราษฎร แต่ก็เป็นสิทธิของประชาชนเช่นกัน ที่จะตัดสินว่า ใครเป็นพวกที่สนับสนุนงบประมาณของรัฐรวมศูนย์ นายทุน ขุนศึก ที่จะพันธนาการ แช่แข็งประเทศ ให้จมอยู่ในวิกฤติไปอีกตลอดกาล และใครเป็นผู้ที่สนับสนุนนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผมในฐานะหัวหน้าพรรคก้าวไกล ไม่สามารถโหวตรับรองให้ร่างงบประมาณปี 65 ฉบับนี้ผ่านไปได้”