8 พรรคแนวร่วมจัดตั้งรัฐบาลแถลงข่าวพร้อมกันครั้งแรกเช้าวันนี้ นำโดยพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และ7 หัวหน้าพรรคการเมือง ได้แก่ พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชาติ พรรคไทยสร้างไทย พรรคเสรีรวมไทย พรรคเพื่อไทยรวมพลัง พรรคเป็นธรรม และพรรคพลังสังคมใหม่
เนื้อหาการแถลงเป็นไปอย่างสั้นและกระชับโดยหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า วันนี้เป็นการแถลงจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยของประชาชน ได้แก่ พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชาติ พรรคเสรีรวมไทย พรรคเพื่อไทยรวมพลัง พรรคเป็นธรรม พรรคพลังสังคมใหม่ พรรคไทยสร้างไทย รวมจำนวนผู้แทนราษฎร 313 คน
พิธากล่าวในคำแถลงว่า เสียงของประชาชนทุกเสียง คือ เสียงแห่งความหวัง เสียงของความเปลี่ยนแปลง และรัฐบาลนี้จะทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ และเป็นรัฐบาลของประชาชนทุกคน
สาระสำคัญของการแถลงในวันนี้มี 3 ข้อ คือ
1. ทุกพรรคเห็นชอบสนุบสนุนหัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรีตามเสียงของประชาชน
2. ทุกพรรคทำข้อตกลงร่วม หรือเอ็มโอยูในการตั้งรัฐบาล เพื่อแสดงแนวร่วมในการทำงานร่วมกัน โดยจะแถลงรายละเอียดของเอ็มโอยูในวันที่ 22 พ.ค.นี้
3. ทุกพรรคจะจัดตั้งคณะทำงานเพื่อการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลอย่างไร้รอยต่อ
ในส่วนของการตอบคำถามสื่อมวลชน หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า การจัดตั้งรัฐบาลมีความชัดเจน มีเอกภาพ และคืบหน้าเป็นที่น่าพอใจ ส่วนเรื่องการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี คณะเจรจาและคณะเปลี่ยนผ่านได้วางแผนและฉากทัศน์รับมือไว้หลายรูปแบบเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาล จึงไม่รู้สึกกังวลอะไร และยืนยันว่าการโหวตในสภาจะผ่าน
พิธากล่าวว่า รัฐบาล 313 เสียงเป็นความปรกติของประชาธิปไตยและเพียงพอ ยังไม่มีความจำเป็นจะต้องหาให้ได้ 376 เสียง และมั่นใจว่าจะจัดตั้งรัฐบาลได้แน่นอน ส่วนการเจรจากับ สว.พิธากล่าวว่าจะมีคณะกรรมการคอยทำหน้าที่เจรจา และเป็นเรื่องของระบบ ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ซึ่งน่ายินดีที่ สว.บางท่านจะให้การสนับสนุน และเป็นอาณัติสัญญาณที่ดีที่สังคมจะเริ่มเข้าสู่ประชาธิปไตยที่ดี
ในเรื่องของการแบ่งกระทรวง หัวหน้าพรรคก้าวไกลกล่าวว่า ไม่ได้เอากระทรวงมาเป็นตัวตั้ง แต่เน้นวาระของทุกพรรคการเมืองที่ได้หาเสียงไว้ ซึ่งมีความใกล้เคียงกัน จะค่อยๆ คุยกัน ถ้าตกผลึกได้ จึงมาดูเรื่องของการแบ่งกระทรวง ถ้าหากเอากระทรวงเป็นตัวตั้ง ประชาชนจะไม่ได้อะไร
ส่วนเรื่องที่มีผู้ไปยื่นเรื่องร้องเรียน พิธากล่าวไม่รู้สึกกังวล แต่ก็ไม่ประมาทนักร้อง เมื่อเป็นบุคคลสาธารณะก็ต้องสามารถตรวจสอบได้ แต่การเตรียมพร้อมก็เป็นเรื่องสำคัญ
ทางด้าน นพ. ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทยกล่าวว่า ขอยืนยันว่าพรรคเพื่อไทยสนับสนุนหัวหน้าพรรคก้าวไกลเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 และร่วมกันตั้งรัฐบาลเพื่อให้เป็นรัฐบาลแห่งความฝันและความหวังของประชาชนให้ได้ ยืนยันที่จะทำภารกิจนี้ให้สัมฤทธิ์ผล และจะผลักดันคะแนนในสภาให้ได้ 376 เสียง ขอให้มั่นใจว่าจะมีเสียงใน 376 เสียงในสภาเพื่อเลือกหัวหน้าพรรคก้าวไกลเป็นนายกรัฐมนตรี
ด้านคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทยกล่าวว่า ได้พูดเป็นสัญยญาประชาคมเมื่อตอนหาเสียงว่าทุกฝ่ายต้องเดินตามครรลองและยึดมั่นในประชาธิปไตย เมื่อพรรคก้าวไกลได้เสียงจากประชาชนมาเป็นอันดับ 1 พรรคไทยสร้างไทยจะยกมือสนับสนุนให้พิธา เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งหากประเทศไม่มีหลักก็จะเกิดความวุ่นวาย
ส่วนข้อตกลงเรื่องนโยบาย หลังจากวันนี้จะมีการตั้งคณะกรรมการร่วมกันเพื่อเริ่มนับ 1 ในการทำนโยบาย ซึ่งการทำนโยบายที่ให้ไว้กับประชาชนสำคัญกว่าการแบ่งกระทรวง และอยากผลักดันสิ่งที่ประชาชนยากลำบากให้สำเร็จ และอยากเห็นประเทศไทยไปยืนหนึ่งในแผนที่การแข่งขันโลก
สำหรับประเด็นเรื่องมาตรา 112 พรรคไทยสร้างไทยมีความชัดเจนว่า เป็นหน้าที่ของทุกพรรคการเมืองที่จะต้องรักษาสถาบันหลักของชาติ การทำอะไรที่จะกระทบ ทำให้สถาบันเสื่อมเสีย พรรคการเมืองจะต้องปกป้อง ส่วนการที่มีผู้มีอำนาจใช้มาตรา 112 กลั่นแกล้งบุคคลจะต้องมาพิจารณา แต่การให้มาตรา 112 ปกป้องสถาบันได้อย่างดี ไม่เป็นเครื่องมือทำร้ายผู้อื่น เป็นหลักการ และยืนยันที่จะปกป้องสถานบัน ไม่ให้เอาไปใช้ทำร้ายคนอื่น
ด้าน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทยกล่าวว่า ยืนยันตามเจตนารมณ์ของพรรคและประชาชนที่จะให้พรรคที่ได้เสียงข้างมากเป็นนายกรัฐมนตรี พรรคเสรีรวมไทยสนับสนุนให้พิธาเป็นนายก แม้จะตั้งรัฐบาลร่วมกัน ต้องทำงานร่วมกัน นโยบายใดที่มีทิศทางร่วมกันก็สนับสนุน แต่ถ้าไม่ตรงกันก็ต้องคุยกัน
ส่วนวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติกล่าวว่า การเลือกตั้งที่ผ่านมาประชาชนมอบความไว้วางใจให้พรรคก้าวไกลมีเสียงมากที่สุด แสดงให้เห็นว่าประชาชนต้องการผู้นำรัฐบาลที่มาจากพรรคก้าวไกล จึงขอสนับสนุน พิธา และยินดีให้ความร่วมมือทุกประการในการจัดตั้งรัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน ครั้งนี้ให้สำเร็จ
หัวหน้าพรรคประชาชาติกล่าวว่า อยากเรียกร้องทุกฝ่าย รวมทั้งสื่อมวลชน ให้ความเคารพต่อการตัดสินใจของประชาชน ถ้าไม่เคารพจะติดกับดักปัญหาเดิมๆ ไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าอย่างสง่างามได้ ซึ่งวิกฤตของประเทศมีมากมาย ทั้งระดับประเทศ ภูมิภาค และระดับโลก เราไม่สามารถอยู่กับปัญหาเดิมๆ ได้ และวันที่ 22 พ.ค.จะได้เห็นแสงของความก้าวไปข้างหน้าจากนี้ไป และขอฝากความหวังนี้ให้กับทุกคนด้วยความจริงใจ
ด้านปิติพงษ์ เต็มเจริญ หัวหน้าพรรคเป็นธรรมกล่าวว่า สนับสนุนมติมหาชนที่ให้ฉันทานุมัติให้พิธาเป็นนายกรัฐมนตรี และเสียงของพรรคจะไม่เปลี่ยนไปจากกนี้ โดยไม่มีข้อต่อรองทางเมือง ส่วนเรื่องมาตรา 112 ทางพรรคมีจุดยืนไปแล้ว และต้องคุยกันในคณะทำงาน
ส่วนเรื่องที่มีผู้ร้องเรียนพิธา หัวหน้าพรรคเป็นธรรม กล่าวว่า ถ้า กกต.พิจารณาอย่างเป็นธรรม มีมาตรฐานสากลที่เปฌนที่ยอมรับกัน เชื่อว่าพิธาจะผ่านไปได้ และฝากถึง ส.ว. และ ส.ส. ให้ตระหนักถึงเสียงของประชาชนว่า ต้องการเปลี่ยนผ่านไปสู่รัฐบาลแห่งความหวัง ต้องประคับประคองความหวังนี้ไว้