Skip to main content

ในขณะที่แต่ละพรรคการเมืองต่างงัดนโยบายเด็ดขึ้นมาเพื่อฟาดฟันแย่งคะแนนและพื้นที่ในโซเชียลมีเดีย แต่ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวเรือใหญ่พรรคพลังประชารัฐและแคนดิเดตนายกฯ เพียงหนึ่งเดียวจากพรรคพลังประชารัฐในการเลือกตั้งครั้งนี้ สามารถช่วงชิงพื้นที่ได้ด้วยเสื้อแจ็กเก็ตแบรนด์เนมเพียงตัวเดียว

จากสปอร์ตแจ็กเก็ตของแบรนด์ไทยดีไซเนอร์อย่าง Issue ที่กลายเป็นไวรัลจนทางแบรนด์ต้องเปิดพรีออร์เดอร์นำกลับมาขายอีกครั้งทั้งๆ ที่แจ็กเก็ตตัวนี้เป็นไอเท็มจากคอลเลกชั่นก่อนที่ sold out ไปตั้งนานแล้ว สู่แจ็กเก็ตของแบรนด์ลักชัวรี่ระดับโลก BOSS กับคอลเลกชั่นที่ร่วมงานกับเจ้าพ่อมีมระดับโลก Khaby Lame ซึ่งไม่รู้ว่าบังเอิญหรือตั้งใจ แต่มันกลับพอเหมาะพอเจาะกันดีกับประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่จะเป็นเจ้าพ่อมีมคนหนึ่งในประเทศไทยเหมือนกัน ตั้งแต่รูปนาฬิกายืมเพื่อน รูปนั่งหลับตามที่ต่างๆ รูปโลโก้ยี่ห้อตราเด็กสมบูรณ์ ไปจนถึงมีมที่มาพร้อมกับคำพูดติดปากว่า ‘ไม่รู้ๆ’

แม้ว่าทั้งลุคของประวิตรที่สวมใส่แจ็กเก็ตทั้งแบรนด์ Issue หรือ Boss จะถูกนำมาล้อเลียนเสียดสีไปจนถึงเย้ยหยัน แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ มันได้แอร์ไทม์ในโซเชียลมีเดียไปแล้ว โดยที่ประวิตรไม่ต้องพูดอะไรสักคำ ไม่ตอบคำถามเรื่องความขัดแย้ง หรือนโยบายพรรค

 

Re-Writing Narrative เปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่เพื่อสร้างเรื่องเล่าใหม่

ภาพลักษณ์อันชินตาของนักการเมืองที่เราเห็นและจดจำมาโดยตลอด โดยเฉพาะในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งก็คือการสวมใส่ยูนิฟอร์มแจ็กเก็ตของพรรค ที่มาในโทนสีของพรรค มีชื่อและโลโก้พรรค หรือหากเป็นแคนดิเดต ส.ส. ก็อาจจะมีชื่อและเบอร์ที่ลงสมัครรรับเลือกตั้งสกรีนลงบนเสื้อด้วย ซึ่งทั้งหมดนั้นก็เพื่อการสร้างภาพจำให้เกิดขึ้นแก่ประชาชน ไม่ว่ารูปนั้นจะถูกนำไปใช้ในแห่งหนใด ร่างกายนั้นย่อมถูกสวมทับโดยพรรคเสมอ

ในกรณีของอุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร ที่เป็นหัวเรือใหญ่ในการหาเสียงเลือกตั้งและคาดว่าจะเป็นหนึ่งในสามแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งครั้งนี้ แม้มีหลายครั้งหลายคราที่เธอปรากฏตัวในสื่อ เช่น การให้สัมภาษณ์แบบเอ็กซ์คลูซีฟ เธออาจจะปรากฏตัวในรูปแบบที่แตกต่างออกไป ทั้งเสื้อเชิ้ตผ้าไหมของ Gucci หรือแจ็กเก็ตผ้าทวีดของ Chanel แต่เมื่อต้องลงหาเสียงในพื้นที่จังหวัดต่างๆ เราก็มักจะเห็นเธอในยูนิฟอร์มในแบบภาพจำของนักการเมืองเช่นเดิม คือสวมเสื้อแจ็กเก็ตของพรรคเช่นเดียวกับนักการเมืองคนอื่น

ในขณะที่ประวิตรนั้น จากการลงพื้นที่หาเสียงไม่กี่วันที่ผ่านมาที่เกิดเป็นภาพไวรัลนั้น เรากลับพบว่าประวิตรมาในลุคที่ไม่ใช่ภาพจำของนักการเมืองที่เราเห็นจนชินตา แต่มาในเสื้อแจ็กเก็ตแบรนด์เนมทั้งไทยและเทศ ประการหนึ่งอาจเป็นเพราะร่างกายของประวิตรไม่จำเป็นต้องเป็นร่างทรงของพรรค เพราะตัวประวิตรนั้นอาจจะเป็นพรรคและยิ่งใหญ่กว่าพรรคไปแล้ว ประวิตรไม่จำเป็นต้องการสร้างภาพจำผ่านการเป็นร่างทรงของพรรคการเมือง

แต่ประวิตรจำเป็นต้องสร้างภาพจำของตนเองแบบใหม่ขึ้นมามากกว่า

และต้องเป็นภาพจำที่แตกต่างไปจากชายชราที่แทบจะเดินไม่ได้ ต้องมีคนคอยประคอง นักการเมืองที่เอาแต่หลับเกือบทุกครั้งที่มีการประชุมสภา นักการเมืองที่มีคดียืมนาฬิกาเพื่อนติดตัว นักการเมืองที่ไม่สามารถตอบคำถามอะไรได้นอกจากคำว่า ‘ไม่รู้ๆ’

เราจึงได้เห็นประวิตรลุกขึ้นมาปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ของตนเองผ่านการใส่กางเกงยีนส์ รองเท้ากีฬา แจ็กเก็ตแบรนด์เนมสไตล์สปอร์ต และเดินเองได้โดยที่ไม่มีใครคอยประคอง แม้กระทั่งสามารถตอบคำถามนักข่าวได้มากกว่าคำว่า ‘ไม่รู้’

 

ความหมายใหม่ของการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ในสนามการเลือกตั้ง

การปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่ของประวิตร อาจไม่ได้มีเพียงความหมายในการ ‘หาคะแนนเสียง’ เพียงเท่านั้น เพราะสิ่งนี้ที่แม้ว่าจะได้รับความสนใจในการเป็นข่าว ได้พื้นที่ในสื่อและโซเชียลมีเดียมันก็ไม่ได้หมายความว่าทุกยอดไลก์ ยอดแชร์ หรือทุกคอมเมนต์จะรีเทิร์นกลับมาเป็นคะแนนเสียงเสียเมื่อไหร่ อีกอย่าง การปรับภาพลักษณ์ให้ดู ‘ทันสมัย’ ก็ไม่ได้หมายความว่านี่คือการช่วงชิงคะแนนจากคนรุ่นใหม่ เพราะอย่างที่รู้กันว่านั่นไม่ใช่ฐานเสียงของพลังประชารัฐและเอาเข้าจริงคนรุ่นใหม่ทั้ง First Voter หรือ Gen Z มีคะแนนเสียงเพียง 12% เท่านั้นในการเลือกตั้งครั้งนี้

และมันอาจจะใช้ไม่ได้กับคนรุ่นใหม่ที่ปักธงประชาธิปไตยในการเลือกตั้งครั้งนี้ไว้แล้ว แต่มันอาจจะใช้ได้กับคนเจเนอเรชั่นอื่นๆ ที่อาจจะยังลังเลว่าประยุทธ์หรือปวิตร และประยุทธ์กับประวิตรแตกต่างกันอย่างไร และนี่คือสิ่งที่ประวิตรพยายามทำให้เห็นว่าแตกต่างจากประยุทธ์ และดีไม่ดีมันอาจจะกินพื้นที่กว้างไปกว่าประยุทธ์ แต่ยังรวมไปถึงพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ ก็เป็นไปได้

มากไปกว่านั้นก็คือการเปลี่ยนภาพลักษณ์ในครั้งนี้ยังอยู่ภายใต้กระบวนการการสร้างเรื่องเล่าใหม่ของตนเอง ซึ่งเป็นกระบวนการที่ไม่ใช่เพิ่งจะมาทำตอนใส่เสื้อแจ็กเก็ตแบรนด์เนม แต่มันเริ่มมาตั้งแต่การพูดว่า “นี่ครับ คนปฏิวัต” ในที่ประชุมรัฐสภาพร้อมชี้ไปยังประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อที่จะสร้างเรื่องราวของตนเองขึ้นมาใหม่ว่า ไม่ได้อยู่ในแก๊งก๊วนของประยุทธ์ที่ทำรัฐประหาร ไม่เป็นประชาธิปไตย

และกระบวนการเปลี่ยนภาพลักษณ์ สร้างเรื่องเล่าของตนเองขึ้นมาใหม่ของประวิตรในครั้งนี้ไม่ได้ตั้งใจให้เป็น ‘อาวุธ’ ในการหาคะแนนเสียงแต่เพียงทางเดียวเหมือนที่นักการเมืองพยายามปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ของตนเองเพื่อให้ได้คะแนนเสียงจากฐานเสียงที่ตนเองต้องการ (เช่นการผูกผ้าขาวม้าเวลาไปหาเสียงที่ภาคอีสานหรือลงพื้นที่พูดคุยกับเกษตรกร) แต่เป็น ‘เครื่องมือง เพื่อใช้ส่งต่อให้ผู้อื่นนำไปใช้ในทางการเมืองเสียมากกว่า หนึ่งในเหตุการณ์ที่สำคัญที่เห็นได้ชัดถึงการพยายามย้ำซ้ำๆ และนำเรื่องเล่าใหม่ของประวิตรไปใช้ก็คือ การให้สัมภาษณ์ของ เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ที่กล่าวว่า

“ผมเรียนว่าผมต่อต้านรัฐประหารและถ้าเรามองให้ลึกจริงนะ คุณประวิตรเกษียณตั้งหลายปีแล้ว ไม่มีปัญญาที่จะมายึดอำนาจหรอก เพราะฉะนั้นการรัฐประหารครางที่แล้วเนี่ยถ้าคุณประยุทธ์ไม่ทำ คุณประวิตรกับคุณอนุพงษ์ก็ทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นคุณประยุทธ์เป็นตัวหลัก เป็นเผด็จการที่แท้จริง”

หรือแม้กระทั่งสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่เพิ่งจะกล่าวว่า “หัวหน้าพรรคสดที่สุด ดูได้จากเสื้อผ้า” ที่หมายถึงประวิตร วงษ์สุวรรณนั่นเอง

กระบวนการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ การลุกขึ้นมาใส่ยีนส์ รองเท้ากีฬา แจ็กเก็ตแบรนด์เนม ของประวิตร วงษ์สุวรรณ ในการเลือกตั้งครั้งนี้จึงไม่ใช่การปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ในแบบเดิมๆ ของนักการเมืองที่เราเคยเข้าใจและรับรู้รหัสนี้มาก่อนว่าทำไปเพื่อหาคะแนนเสียง เพราะมันอาจะไม่ได้มุ่งไปยังคะแนนเสียงโดยตรง แต่มันอาจเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องมือในการสร้างเรื่องเล่าของตัวเองใหม่ทั้งหมด เพื่อผลประโยชน์อื่นทางการเมือง

เปลี่ยนจากชายชราที่เดินแทบไม่ไหว นั่งเป็นหลับ ขยับได้แต่คำว่าไม่รู้ เป็นชายชราที่ทันสมัยในสนีกเกอร์ กางเกงยีนส์และแจ็กเก็ตแบรนด์เนมเดินหาเสียง เปลี่ยนจากอดีตนายทหารที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับกลุ่มคนที่ทำรัฐประหารเป็นคนที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการทำรัฐประหาร

และเรื่องเล่าใหม่นี้แหละ ที่อาจจะถูกนำไปใช้สร้างความชอบธรรมในการเป็นเครื่องมือในการจับมือจัดตั้งรัฐบาลในสมัยหน้ารึเปล่าก็ไม่รู้...ก็คงต้องจับตาดูกันต่อไป