Skip to main content

ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล เดินทางไปยังอาคารสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช) สนามบินน้ำ จังหวัดนนทบุรี เพื่อยื่นหนังสือให้มีการไต่สวนและตรวจสอบกรณีการปล่อยให้มีการควบรวมทรู-ดีแทค ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 การปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หลัง กสทช. มีการลงมติเพียงแค่รับทราบการควบรวมกิจการ 2 ค่ายมือถือ โดยทำการยังยั้งการควบรวมตามอำนาจหน้าที่ที่ตนเองมี

ศิริกัญญา ได้พูดถึงปัญหาของการควบรวมกิจการไว้ว่าได้ทำการศึกษาราคาค่าบริการหลังควบรวมพบว่า ราคาค่าบริการจะสูงขึ้นและศักยภาพการให้บริการจะด้อยลง แตกต่างจากในตลาดมือถือที่มีการแข่งขันของรายใหญ่ 3 เจ้า แต่กสทช. ไม่ทำหน้าที่ของตนให้เหมาะสมในการยับยั้งความเสียหายที่จะเกิดขึ้น

นอกจากนี้ ในการลงมติของกสทช. ที่เป็นมติพิเศษ มีหลักเกณฑ์ว่า จะต้องได้เสียงกึ่งหนึ่งในการลงมติ และคณะกรรมการในครั้งนี้มีทั้งหมด 5 คน จึงจะต้องลงเสียงให้ได้คะแนน 3:2 แต่มติในครั้งนี้คือ 2:2:1 งดออกเสียงหนึ่งเสียง หากว่ากันตามข้อบังคับการประชุมจะต้องได้ทั้งหมด 3 เสียงขึ้นไป ดังนั้นกสทช. กำลังทำผิดกฏหมายที่ตนเองร่างขึ้นมา 

ประเด็นถัดมา คือเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน การถือหุ้นโยงไปมา มีการตรวจสอบพบผลประโยชน์ทับซ้อนก็คือ ต่อพงศ์ เสลานนท์ รับผลประโยชน์ต่างๆ จากกลุ่มซีพี ซึ่ง เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัท True ไม่ว่าจะเป็นกรรมการรถไฟฟ้าความเร็วสูงสามสนามบิน และรับผลประโยชน์อื่นๆ ในฐานะนายกสมาคมคนตาบอด หากว่ากันด้วยเรื่องคุณสมบัติ นายต่อพงศ์ ไม่มีคุณสมบัติที่จะลงคะแนนเสียงด้วยซ้ำ แต่กลับลงมติรับทราบกิจการควบรวม

นอกจากนี้ ยังมีคณะกรรมการอีกท่านอย่าง พล.อ.ท. ดร.ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ ก็ได้แต่งตั้งที่ปรึกษาของคุณประสพสุข ซึ่งเป็นกรรมการอิสระของกลุ่มซีพี ชัดเจนว่าเป็นผลประโยชน์ทับซ้อน 

ทั้งนี้การลงมติควบรวมทรู-ดีแทค ของกสทช.เป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายที่ตนเองได้รับมอบอำนาจ และผลประโยชน์ทับซ้อนของคณะกรรมการ ในหนังสือที่ยื่นแก่ป.ป.ช. มีการขอไต่สวน นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ต่อพงศ์ เสลานนท์ กสทช. และพล.อ.ท. ดร.ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ หลังจากนี้จะมีการยื่นเรื่องต่อศาลปกครองเพื่อขอคำสั่งระงับฉุกเฉินเพื่อระงับการควบรวม เพราะถ้าหากปล่อย ให้กระบวนการเดินไปข้างหน้าจะมีผลเสียมากกว่านี้จะแก้ไขก็ไม่ทันการณ์