Skip to main content

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้ความเห็นภายหลังการแสดงความเห็นของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต่อสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ รอบสอง ว่า ตั้งแต่วันแรกที่เกิดโควิดจนถึงวันนี้ เป็นที่ประจักษ์ชัดถึงความเย็นชาของรัฐบาลต่อความเป็นอยู่ของประชาชนและเศรษฐกิจของชาติมากเพียงใด ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ ยังออกมาชี้หน้าโทษประชาชน โดยพูดว่า "โควิดที่ไม่จบเพราะยังขาดจิตสำนึก.. หลายคนก็โทษรัฐบาล โทษเจ้าหน้าที่อยู่นั่นแหละ ประเทศเลยเดินไปไม่ได้ เดินไปได้ช้า"

ซึ่งคำพูดเหล่านี้ของนายกรัฐมนตรีแสดงถึงความไร้วุฒิภาวะ ขาดสติ ไม่เข้าใจปัญหาที่แท้จริง นายกฯ ควรทบทวนตัวเองและหัดโทษตัวเองให้เป็นบ้างในฐานะผู้บริหารสูงสุดของประเทศ ทั้งที่ในความจริงแล้วทุกคนพร้อมจะเดินไปข้างหน้านานแล้ว แต่ พล.อ.ประยุทธ์ต่างหากที่ไม่พร้อมเอง

พิธา ระบุต่อไปว่า ประชาชนรู้ว่า รัฐบาลบริหารสถานการณ์โควิดและวัคซีนได้ผิดพลาดและล้มเหลว จากการได้ไปทำงานพื้นที่ในระหว่างปิดสมัยประชุมสภามาตลอด ประชาชน พ่อค้าแม่ขาย พูดกับตนว่า ไม่เหลืออะไรแล้วในชีวิต เมื่อนายกฯ รู้ว่าพวกเขากำลังอดตาย ท่านรู้สึกอะไรบ้างไหม ผู้ประกอบการร้านค้าอยู่ด้วยความกังวลทุกวัน ตื่นมาแล้วคิดว่าพรุ่งนี้จะโดนสั่งปิด สั่งห้ามอะไรอีกหลายอย่างใช่ไหม ธุรกิจร้านอาหารไม่ใช่สวิตช์ไฟที่จะเปิดๆ ปิดๆ ได้ง่าย แต่พวกเขามีการเตรียมตัว มีต้นทุนหลายอย่างที่ต้องเสียไป รวมถึงการจ้างงานพนักงานในร้านด้วย พนักงานเหล่านี้จะต้องทำอย่างไรกับชีวิตต่อจากนี้ รวมถึงในภาคการท่องเที่ยวที่ซบเซามาเกินหนึ่งปี จะต้องรอไปอีกนานแค่ไหน พวกเขาบอกว่ายังมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เลย

จนถึงตอนนี้รัฐบาลควรต้องรู้ว่าโควิดจะอยู่กับพวกเราไปอีกสักพัก โดยเฉพาะถ้าอัตราการฉีดวัคซีนช้าขนาดนี้ ดังนั้นการมีตัวเลขผู้ติดเชื้อบ้างในแต่ละวันจึงไม่ใช่จุดวิกฤตไม่ใช่ต้องรีบสั่งปิดกิจการปิดพื้นที่ อย่ามัวแต่แก้ปัญหาที่ปลายเหตุแบบนี้ซ้ำวนลูปเดิมไปเรื่อยๆ เพราะคนเราต้องมีชีวิต ต้องทำงาน ต้องให้เศรษฐกิจมันเดินหน้าต่อไปได้ ทุกคนรู้และตระหนักดีกว่าวัคซีนเป็นคำตอบว่าจะได้กลับมาลืมตาอ้าปากเมื่อไร ดังนั้นเราต้องบริหารวัคซีนให้ทันการณ์

ทั้งนี้ พิธา ระบุว่า เข้าใจดีว่าการฉีดวัคซีนในระยะเริ่มต้นอาจจะมีความล่าช้าอยู่บ้าง แต่หากประเมินอัตราการฉีดวัคซีน ณ ปัจจุบัน ต้องยอมรับว่าการฉีดวัคซีนยังล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะถ้าเทียบกับสต็อกวัคซีนที่มีอยู่ในประเทศตอนนี้ รวมถึงเมื่อเทียบกับสิ่งที่ทางรัฐบาลออกมาพูดชวนเชื่อเมื่อก่อนหน้านี้ถึงปริมาณที่จะฉีดได้ในแต่ละเดือนซึ่งมีแนวโน้มที่ไม่เป็นจริงได้ตามเป้าหมายและคงต้องจับตาดูกันต่อไป  

อย่างไรก็ตาม พิธา ยืนยันว่า เชื่อมั่นในเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการและบุคลากรการแพทย์ที่มีความสามารถอยู่จำนวนมาก และเป็นกำลังใจให้เสมอ แต่ความโชคร้ายคือการที่มีคนที่นั่งเก้าอี้บริหารไม่มีวิสัยทัศน์มากพอ จึงทำให้เกิดการทำงานอย่างไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควรและส่งผลประทบในวงกว้าง

พิธา ระบุด้วยว่า "จนถึงตอนนี้ทุกชีวิตตระหนักดีว่าวัคซีนไม่ใช่แค่การป้องกันโรค แต่คือกุญแจที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาปากท้อง ฟื้นฟูเศรษฐกิจ หากฉีดวัคซีนล่าช้า 1 เดือน ประชาชนเสียหายบอบช้ำ เป็นมูลค่าสูงถึง 2.5 แสนล้านบาท ไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตามการฉีดวัคซีนจะล่าช้าไม่ได้"