Skip to main content

พล.อ.ประยุทธ์​ จันทร์โอชา​ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม​ เป็นประธานพิธีเปิด FTI EXPO 2022 : SHAPING FUTURE INDUSTRIES FOR STRONGER THAILAND พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “ฉากทัศน์ใหม่อุตสาหกรรมไทยเพื่อความยั่งยืน” จัดโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่มุ่งเน้นให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องมีการทำงานร่วมกัน สร้างการเชื่อมโยงระหว่างกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดต่อเศรษฐกิจของประเทศ

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นโอกาสดีที่ได้มาแลกเปลี่ยนความคิดในการยกระดับอุตสาหกรรมของไทยไปสู่อนาคตที่เข้มแข็ง ซึ่งทุกคนทราบดีว่าประเทศไทยมีศักยภาพอยู่ในหลายประการ ทั้งด้านการเกษตรและอุตสาหกรรม ซึ่งขณะนี้โลกกำลังเข้าสู่โลกยุคใหม่ มีการเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน ไทยจะต้องรับมือกับสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าในอนาคต สายลมอาจจะเปลี่ยนเป็นพายุ และเป็นเวลาที่เหมาะสมที่จะต้องมีการพูดคุยกันให้เข้าใจกันระหว่างบทบาทของรัฐบาลและเอกชนที่จะต้องจับมือไปด้วยกัน ไม่เช่นนั้นจะเดินหน้าไปไม่ได้

“หากจะเปรียบเทียบประเทศไทย ก็เหมือนกับรถยนต์คันหนึ่งที่จะนำคน 70 ล้านคนเดินไปข้างหน้าให้ได้และไม่หยุดนิ่ง เครื่องยนต์ไม่ติดขัด มีพลังงานที่เพียงพอ และประชาชนที่อยู่บนรถมีความสะดวกสบายในการเดินทาง ซึ่งคงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะทุกอย่างเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี พลังงาน และคนบนรถที่มีความหลากหลายตามขีดความสามารถ ซึ่งจะทำอย่างไรจะให้รถนั้นวิ่งได้ โดยต้องเตรียมการรถยนต์ให้ดีได้ และเมื่อทำได้ก็จะสร้างรถหลาย ๆ คันขึ้นมาอีก” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอให้ทุกคนย้อนดูว่าที่ผ่านมารัฐบาลทำอะไรไปบ้าง ตั้งแต่เกิดโควิด-19 ได้ใช้งบประมาณไปจำนวนมาก เรื่องสุขภาพเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด และจะสามารถทำให้ทุกอย่างเดินหน้าต่อไปได้ ตนรู้สึกเจ็บปวดและเห็นใจทุกคน อะไรที่ทำได้ก็จะทำให้ วันนี้ต่างประเทศมองไทยเป็นเป้าหมายแห่งการลงทุน

นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นว่า ทุกอย่างต้องผ่านกลไกตลาด มีข้อระเบียบและหลักเกณฑ์ต่าง ๆ จำนวนมาก เมื่อพลังงานสูงขึ้น ค่าขนส่งสูงขึ้น ส่งผลกระทบหลายด้าน แต่ต้องดูอย่างรัดกุมที่สุด ทั้งนี้ ต้องไม่ทำให้การเงินของไทยอ่อนแอ สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องทำให้ทั่วโลกยอมรับในเสถียรภาพของไทย ซึ่งขณะนี้สถานการณ์อยู่ในระดับ BBB+ แม้จะกู้เงินมาใช้บ้าง แต่ยังคงแข็งแรงอยู่ แต่ไม่ได้หมายความว่าอยากจะกู้​ แต่ถ้าไม่กู้แล้วจะเอา GDP มาจากไหน​ เพิ่มรายรับมาจากครัวเรือนได้อย่างไร​ 

“ขณะนี้โลกแบ่งเป็นหลายขั้ว ต้องเตรียมการรองรับ ถ้าไม่เตรียมการวันนี้ ประเทศไทยจะไปต่อไม่ได้ และต้องทำให้ดินแดนอาเซียนเป็นดินแดนแห่งความสงบสุข​ มีเสถียรภาพ​ ไม่มีสงคราม​ เพื่อให้เป็นแหล่งอาหารของโลก และจะต้องดูแลให้การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม แต่ใครจะขัดแย้งก็ว่ากันไป ขณะที่ล่าสุดสถานการณ์การท่องเที่ยว ได้รับรายงานว่ามีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามา 2 ล้านคนแล้ว และตั้งเป้าว่าปีนี้จะเดินทางมาถึง 10 ล้านคน ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่ผลงานของตนเอง แต่ทุกภาคส่วนร่วมมือกัน จึงทำให้การเปิดประเทศประสบความสำเร็จ แต่ถ้าทุกอย่างขัดแย้งไปหมดก็ไปต่อไม่ได้” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอบคุณผู้ร่วมงานทุกคนที่ใส่หน้ากากอนามัย แต่บางคนให้ใส่ก็ถอด บางคนให้ถอดก็ใส่ ซึ่งถือเป็นเรื่องของความสมัครใจ จะไปบังคับไม่ได้ ทั้งนี้ถ้าไม่อยากเป็นโควิดก็ให้ใส่หน้ากากอนามัย ไม่จำเป็นว่าต้องกลัวถูกบูลลี่ว่าใส่หน้ากาก สิ่งสำคัญที่สุดคือ ต้องดูแลตัวเองและยังต้องดูแลคนในครอบครัวด้วย

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทุกเรื่องจะเกิดมูลค่าได้ด้วยการสร้างสตอรี่ ไม่ใช่สตรอว์เบอร์รี ขอให้ทุกฝ่ายเข้าใจตรงกันด้วย ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นว่ารัฐบาลพูดอะไรทำไม่ได้ ก่อนที่จะกล่าวติดตลกว่า ตนพูดสู้ประธานสภาอุตสาหกรรมไม่ได้อยู่แล้ว พูดไม่ดีก็จะโดนโห่ สิ่งสำคัญคือถ้าร่วมมือร่วมใจร่วมใจกล่าวทุกวัน เศรษฐกิจไทยโดยรวมจะเป็นไปในทิศทางบวกมากขึ้น คนไทยไม่ด้อยกว่าคนอื่น ไม่อย่างนั้นคงไม่อยู่รอดมาได้ถึงทุกวันนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือ ความรัก ความสามัคคี เสถียรภาพ

“เราทะเลาะกันไม่ได้อีกแล้ว ผมไม่ต้องการทะเลาะกับใคร ผมทำให้ทุกคน ทำให้ทุกจังหวัด ลงแผนงานโครงการให้ทุกจังหวัด แม้ว่าจะรักผมหรือไม่ก็ตาม แต่ผมก็ทำให้เขา เพราะเป็นหน้าที่ของผม เลิกกันเสียที จะไม่มีอะไรดีขึ้นมาเลย สิ่งที่ทำมาสูญเปล่าไปเฉย ๆ เราต้องการเห็นประชาชนก้าวหน้า ประชาชนอยู่ดีกินดี แข่งขันกับประเทศอื่นได้ เราต้องจับมือเดินหน้าไปด้วยกัน ต้องนั่งรถคันเดียวกัน จะเป็นจะตายก็ต้องช่วยกันเข็น ส่วนใครจะนำก็ต้องว่าไป แต่สิ่งที่ทำวันนี้ต้องต่อเนื่อง ถ้าบอกว่าไอ้นู่นก็ไม่ดี ไอ้นี่ไม่ใช่ ก็ไม่ถูก ผมไม่ได้ว่าใคร ว่าตัวเอง ผมชอบพูดหาเรื่องแบบนี้แหละ แต่พูดด้วยหัวใจ หัวใจของผมเพื่อประชาชน” นายกรัฐมนตรี กล่าว

ในช่วงท้ายของการปาฐกถาพิเศษครั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ย้ำถึงการขับเคลื่อนรถยนต์ประเทศไทยว่า “ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารถยนต์คันนี้จะวิ่งไปข้างหน้าได้โดยไม่วิ่งถอยหลังหรือมันตายอยู่กับที่ ถ้ามันจะต้องตายมันต้องหยุด ไอ้คนบนรถต้องไปช่วยกันเข็นให้มันไปให้ได้อย่างไรก็ต้องไปให้ได้ พวกเราไปช่วยกันเข็น ไม่มีอะไรที่ไปได้โดยไม่ร่วมมือกัน เพราะฉะนั้นหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารถยนต์ประเทศไทยวันนี้หรือคันนี้ที่ผมพูดนี่จะกลายเป็นยานยนต์แห่งอนาคตที่จะพาคนไทยทุกคนเดินทางไปสู่เป้าหมายปลายทางจุดหมายปลายทางที่มีความสุขสำเร็จด้วยความสามัคคีของคนไทยด้วยกัน”