จักษุแพทย์เตือนถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับสุขภาพของดวงตาในเด็กและเยาวชน จากการรับชมวิดีโอสั้นบนโซเชียลมีเดียอย่าง Reels และ TikTok ติดต่อกันเป็นประจำเป็นเวลานาน
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แพทย์ในหลายเมืองทั่วโลกพบว่า เด็กและวัยรุ่นอายุต่ำกว่า 16 ปีลงมา มีปัญหาด้านสายตาเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยที่สาเหตุหลักที่พบซ้ำๆ คือการใช้โซเชียลมีเดีย
ผลสำรวจของ สถาบันสุขภาพของสหรัฐ พบว่า มีเยาวชนอายุ 13–17 ปี ถึงร้อยละ 95 ที่ใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย และในจำนวนนี้ มากกว่า 1 ใน 3 ใช้โซเชียลมีเดียแทบจะตลอดเวลา มีการศึกษาล่าสุดพบว่า การใช้โซเชียลมีเดียมากเกินไป ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพสายตา โดยเฉพาะในเด็กและเยาวชนที่รับชมวิดีโอสั้นหรือ reels บนโซเชียลมีเดียเป็นประจำต่อเนื่องเป็นเวลานาน โดยเกิดอาการที่เรียกว่า “กลุ่มอาการสายตาจาก Reel” หรือ Reel Vision Syndrome
Reel Vision Syndrome เป็นภาวะที่ “ดวงตา” ได้ผลกระทบจากการรับชมวิดีโอสั้น โดยเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน ทั้งแสงประดิษฐ์ ภาพที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนภาพและตัวอักษรอย่างฉับไว การเพ่งมองระยะใกล้เป็นเวลานาน และการกะพริบตาที่ลดลง ผลที่ตามมาทำให้เกิดอาการตาแห้ง ความล้าของดวงตา สายตาสั้นที่แย่ลง รวมไปถึงอาการตาเหล่ การมองเห็นพร่ามัว ปวดศีรษะ และอาการไม่สบายตาอื่นๆ ที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายในระยะยาว
ดร.ลลิต เวอร์มา จักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจอตาและจักษุศัลยกรรมแก้วตา กล่าวในการประชุมวิชาการทางด้านจักษุวิทยาเอเชียแปซิฟิก (APAO) ระบุว่า ขณะนี้มีผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาด้วยอาการตาแห้ง สายตาสั้นที่แย่ลง ภาวะตาเข หรือตาเหล่ตั้งแต่อายุน้อย และอาการตาล้าจากการใช้สายตากับหน้าจอดิจิทัล เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน
“หนึ่งในผู้ป่วยวัยรุ่นของเรา ซึ่งเป็นนักเรียน มาพบแพทย์ด้วยอาการระคายเคืองตาตลอดเวลาและมองเห็นภาพพร่ามัว เมื่อตรวจอย่างละเอียดพบว่า เขาใช้เวลามากกับการดู reels ทำให้การผลิตน้ำตาเขาลดลงอย่างมาก” ดร.ลลิตกล่าว
ดร.ฮาร์บันช์ ลาล ประธานสมาคมจักษุแพทย์แห่งอินเดีย (AIOS) อธิบายว่า วิดีโอสั้นถูกออกแบบมาให้ดึงดูดสายตา เพื่อทำให้ผู้ชมจ้องหน้าจอได้เป็นเวลานาน ส่งผลให้อัตราการกะพริบตาลดลงถึงร้อยละ 50 ทำให้น้ำตาระเหยเร็วขึ้นและนำไปสู่อาการตาแห้ง
“เราไม่ได้เห็นแค่สายตาที่แย่ลงเท่านั้น แต่ยังพบว่าค่า ค่าสายตามีการเปลี่ยนแปลงไปมาในคนที่อายุต่ำกว่า 30 ปี ทั้งที่ในอดีตแนวโน้มนี้มักจะคงที่ตั้งแต่อายุประมาณ 21 ปี” ดร.ฮาร์บันช์ กล่าว
มีการประมาณการล่าสุดว่า มีผู้ใช้งาน TikTok มากถึงเกือบ 1.59 พันล้านคน ขณะที่มีผู้ใช้งาน Instagram ราว 2 พันล้านคน โดยในจำนวนนี้มากกว่า 726.8 ล้านคน มีปฏิสัมพันธ์กับ reels บนแพลตฟอร์ม Meta ซึ่งผู้ใช้งานใช้เวลาเกือบร้อยละ 50 ดูวิดีโอ reels รายงานในปี 2022 ระบุว่า ผู้ใช้โซเชียลมีเดียทั่วโลกใช้เวลาดู reels รวมกันเป็นจำนวนชั่วโมงถึงวันละ 17.6 ล้านชั่วโมง โดยเปิดดูมากกว่า 140 พันล้านครั้งต่อวันทั้งบน Facebook และ Instagram ขณะที่ผู้ใช้ TikTok ใช้เวลาดูวิดีโอรวมกันตกวันละ 197.8 ล้านชั่วโมง
มีคำแนะนำจากจักษุแพทย์ ให้ใช้กฎ 20-20-20 คือ การพักสายตาทุกๆ 20 นาที โดยละสายตาจากหน้าจอ และมองวัตถุที่อยู่ห่างออกไป 20 ฟุต เป็นเวลาอย่างน้อย 20 วินาที และระหว่างการใช้หน้าจอ ควรแนะนำให้เด็กๆ กะพริบตาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยลดอาการตาแห้งและความล้าของดวงตาได้
การลดเวลาอยู่หน้าจอสามารถทำได้ด้วยการกำหนดพื้นที่ปลอดหน้าจอในบ้าน เช่น ห้องนอน หรือที่โต๊ะอาหาร รวมถึงตั้งขอบเขตการใช้หน้าจอให้ชัดเจน การให้เด็กได้พักจากโลกดิจิทัลเป็นเรื่องสำคัญ จักษุแพทย์แนะนำว่า ควรส่งเสริมให้เด็กๆ มีช่วงเวลาว่างในแต่ละวันสำหรับการผ่อนคลายโดยไม่ใช้หน้าจอ โดยชวนให้ทำกิจกรรมที่สนุกสนาน เช่น เล่นกีฬา ว่ายน้ำ หรือทำกิจกรรมกลางแจ้งอื่น ๆ
การตระหนักรู้ถึงระยะเวลาที่เด็กใช้โทรศัพท์มือถือและโซเชียลมีเดียเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ทั้งพ่อแม่ ผู้ปกครองและครูควรมีบทบาทช่วยให้เด็กเข้าใจถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการจ้องหน้าจอเป็นเวลานาน
จักษุแพทย์ระบุว่า การพาเด็กไปตรวจสายตากับผู้เชี่ยวชาญเป็นระยะก็มีความสำคัญ เพราะจะช่วยตรวจพบปัญหาได้ตั้งแต่เริ่มต้นและสามารถรักษาได้อย่างทันท่วงที โดยเฉพาะหากมีอาการอย่างปวดศีรษะ ล้าตา มองเห็นพร่ามัว หรือมีภาวะตาเหล่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ที่มา
Doctors warn TikTok & Instagram reels may be damaging eyes long-term
Reel Vision Syndrome: The New Danger!