โดยโครงสร้างร่างกาย มนุษย์ คือ สิ่งมีชีวิตที่วิวัฒนาการมาเพื่อ "เดิน" ซึ่งก็แน่นอนว่า การ "เดินน้อยเกินไป" สร้างปัญหาทางสุขภาพสารพัด เพราะนั่นคือ การใช้ร่างกายต่างไปจากที่มันถูกสร้างมา
คำถามคือ แล้วเดินเท่าไรยังไงถึงจะพอ?
ในสมัยก่อน มีความเชื่อกันมายาวนานว่าต้องเดินให้ได้ 10,000 ก้าวถึงจะสุขภาพดีได้ คนเชื่อแบบนี้มานาน แม้ว่าจะมีคนชี้นานแล้วว่า ตัวเลข 10,000 ก้าว ถูกสร้างขึ้นลอยๆ ในญี่ปุ่น ช่วงหลังกีฬาโอลิมปิกที่ญี่ปุ่นปี 1964 โดยต้นตอของเรื่องนี้ คือ กระแสออกกำลังกายช่วงโอลิมปิก แล้วมันมีบริษัทญี่ปุ่นอาศัยควันหลงกีฬาทำสินค้ามาขายที่เรียกว่า Manpo-Kei ซึ่งแปลตรงๆ ว่า "เครื่องหมื่นก้าว" มันก็คือ "เครื่องนับก้าวเดิน" ที่เรารู้จักกันทุกวันนี้นี่แหละ
ถามว่า ทำไมต้องหมื่นก้าว? คำตอบ คือ ไม่มีหลักฐานวิทยาศาสตร์ใดๆ แค่เป็นกิมมิคทางการตลาดเน้นๆ แต่กิมมิคที่ว่านี้ก็ทำให้คนเชื่อกันจนถึงทุกวันว่าต้องเดิน 10,000 ก้าวต่อวันถึงจะพอ และถ้าไปดู "ค่าตั้งต้น" พวกแอปนับก้าวเดินในสมาร์ทโฟน ก็จะเห็นว่า "ค่าตั้งต้น" มันคือ 10,000 ก้าวทั้งนั้น
นี่ทำให้มันค่อยๆ ทยอยมีงานวิจัยจำนวนหนึ่งออกมาชี้ว่า จริงๆ แล้วมนุษย์เราไม่ต้องการการเดินมากขนาดนั้น ซึ่งถ้าจะเล่าสั้นๆ คือ งานเรื่องนี้ศึกษามันมีเยอะมาก จนมีงานวิจัยเพื่อประมวลผลงานวิจัยที่เรียกว่า Meta-Analysis สรุปมาในปี 2021 เพื่อประมวลว่า จริงๆ มนุษย์ต้องเดินกี่ก้าวแน่ๆ เพื่อผลทางสุขภาพ และเค้าก็พบประมาณว่า เพื่อสุขภาพที่ดีในผู้ใหญ่ การเดินขั้นต่ำวันละ 7,500 ก้าว คือดี และจริงๆ เดินไปมากกว่านั้นคือแทบไม่ส่งผลดีขึ้นใดๆ แบบที่มีตัวชี้วัดชัดๆ ต่อสุขภาพในระยะยาว
นี่ก็น่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้หลายคนปรับค่าของ "เครื่องนับก้าว" ของตัวเองลงจาก 10,000 ก้าว เหลือ 7,500 ก้าว ซึ่งเป็นเป้าที่เป็นไปได้มากขึ้นมากๆ
แต่มันยังไม่จบ เพราะตั้งแต่โควิดเป็นต้นมา คนจำนวนมากถูก "ล็อคดาวน์" ให้อยู่บ้าน และก็น่าจะรู้สึกเลยว่าเวลา "ไม่ได้เดิน" ร่างกายมันแย่ลงมาก และสุดท้ายคือ หลังจากโควิด คนเริ่มเห็นความสำคัญของการเดินมาก และก็ออกกำลังกายด้วยการเดินมากขึ้น
ก็เลยเริ่มมีคำถามว่า จะเดินยังไงดีให้มีประสิทธิภาพที่สุด และทำให้ไม่กี่ปีมานี้มีการเสนอแนวทางการเดินใหม่ๆ เพื่อสุขภาพ
ในอเมริกา มีแนวทางแบบ WalkActive ในการปรับท่าเดิน การจัดเรียงของกระดูกและเส้นเอ็นตอนเดิน เพื่อเพิ่มความเร็วและประสิทธิภาพในการเสริมสุขภาพให้สูงที่สุดจากการเดิน
ฝั่งญี่ปุ่น ก็มีการเสนอการ "เดินแบบญี่ปุ่น" (Japanese Walking) ซึ่งคือการเดินเร็ว 3 นาที เดินช้า 3 นาที สลับกันไปมาวนไป 5 รอบและใช้เวลารวมกัน 30 นาที เพื่อเป็นการออกกำลังกาย โดยการทำแบบนี้ก็จะถูกนำไปเทียบว่า คล้ายการออกกำลังกายแบบหนักแล้วพัก หรือ HIIT
ฝั่งสแกนดิเนเวียก็ไม่ยอมแพ้ เสนอการ "เดินแบบนอร์ดิก" (Nordic Walking) ขึ้นมา ซึ่งคือการเดินโดยใช้ไม้ค้ำยันเฉพาะ ที่คล้ายกับ "ไม้เทรคกิ้ง" แต่ไม่เหมือน เพราะมันมีความคล้ายกับ "ไม้สกี" มากกว่า เนื่องจากไม้นี้คือไม้ที่เอาไว้ใช้ฝึกการเดินของคนเล่นสกีในช่วงฤดูร้อนที่ไม่มีหิมะ ซึ่งเค้าพบว่า เอามาใช้เดิน มันลดภาระข้อต่อร่างกายส่วนล่าง และทำให้ได้ออกกำลังกายร่างกายส่วนบนเพิ่มขึ้นไปด้วย และนั่นทำให้มีการ "ใช้พลังงาน" มากขึ้นในการเดิน หรือทำให้ได้ "ออกกำลังกาย" มากขึ้นในการเดินในระยะเวลาเท่าเดิม
ประเด็นคือการเดินทั้งหมดที่ว่ามา มี "งานวิจัย" รองรับหมดว่ามีประสิทธิภาพด้านสุขภาพทั้งหมด ไม่ใช่เป็นการเคลมลอยๆ แบบ “10,000 ก้าว" ในอดีต ซึ่งนี่ก็อาจเป็นการเปิดศักราชใหม่ของ "การเดิน" ที่สำคัญ เพราะในสังคมที่คนอายุมากขึ้นเรื่อยๆ และมีปัญหาด้านข้อต่อ จริงๆ การเดินน่าจะเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ในการรักษาร่างกายมากกว่ากิจกรรมอื่นๆ
แต่ก็นั่นเอง สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ขึ้นกับเจตจำนงค์ของผู้คนเท่ากับผังเมือง เพราะสุดท้าย เอาจริงๆ ชาติที่ "เดินกันจนสุขภาพดี" ระดับมีงานวิจัยมารับรองแบบญี่ปุ่น มีผังเมืองและการวางโครงสร้างรถโดยสารสาธารณะที่กระตุ้นให้คนได้ "เดินกันจนสุขภาพดี" ไปตลอดชีวิต ซึ่งอะไรแบบเดียวกันมันก็น่าจะเกิดยากในเมืองที่คนนิยมไปซื้อบ้านหลังใหญ่ชานเมืองแล้วขับรถยาวๆ เข้ามาทำงานในเมือง ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกาหรือกระทั่งไทย
อ้างอิง
You Don’t Really Need 10,000 Daily Steps to Stay Healthy
How many steps should people take per day?
Everyone is hooked on the idea but 10,000 steps a day is not the ideal
I found out I’ve been walking ‘wrong’ my whole life — this scientist’s method can improve your BMI, posture and even mood
Japanese walking: the benefits of this fitness trend
‘Nordic walking’ turns your body into a ‘calorie-burning machine’ — and can be done into your 80s
อ่านบทความอื่นๆ ของผู้เขียน