Skip to main content

 

‘Sleep tourism’ คอนเซ็ปต์การท่องเที่ยวรูปแบบใหม่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยโรงแรมและรีสอร์ทที่เน้นการให้บริการเกี่ยวกับการนอนหลับมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทั่วโลก

“ยุคของการไปท่องเที่ยวหลายๆ วัน และกลับมาแบบหมดเรี่ยวหมดแรงได้ผ่านไปแล้ว” ดร.รีเบ็คกา รอบบินส์ นักวิทยาศาสตร์ด้านการนอนหลับ จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด กล่าว

เธอบอกว่า นักท่องเที่ยวกำลังให้ความสำคัญกับเรื่องการนอนหลับมากขึ้นขณะที่เดินทางท่องเที่ยว และต้องการมีคืนที่ดีในช่วงวันลาพัก

Sleep tourism หรือ การท่องเที่ยวเพื่อการนอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่ เน้นการเดินทางไปยังสถานที่ที่เอื้อต่อการพักผ่อนและการนอนหลับอย่างมีคุณภาพ เพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนและจิตใจได้ผ่อนคลายอย่างเต็มที่

การระบาดใหญ่ของโควิด ส่งผลต่อการนอนหลับของคนจำนวนมาก การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Clinical Sleep Medicine เผยว่า ร้อยละ 40 ของคนวัยผู้ใหญ่อเมริกัน 2,500 คน มีคุณภาพการนอนที่ลดลงนับตั้งแต่เริ่มมีการระบาดใหญ่

มีคนจำนวนมากไม่สามารถนอนหลับได้สนิทเมื่อเข้านอนในตอนกลางคืน ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐ ระบุว่า มีชาวอเมริกันมากกว่า 1 ใน 3 ที่นอนหลับไม่เพียงพอ และนอนได้ไม่ถึง 7 ชั่วโมงในแต่ละคืน

การนอนหลับที่ไม่มีคุณภาพและการพักผ่อนไม่เพียงพอ นำไปสู่ปัญหาสุขภาพสารพัดอย่าง ทั้งยังเป็นสาเหตุของความเจ็บป่วยเรื้อรังและปัญหาด้านสุขภาพจิต รวมถึงโรคเบาหวาน โรคความดันสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคเส้นเลือดสมอง จึงไม่น่าแปลกใจที่ผู้คนต่างต้องการการผ่อนคลายและการนอนหลับที่ดีในระหว่างการลาหยุดพักร้อน

ผลสำรวจล่าสุดของบริษัทท่องเที่ยว คาร์ล ฟรายดริก ทำการสำรวจชาวอเมริกัน 1,095 คน พบว่า มากกว่าร้อยละ 94 ของผู้ตอบแบบสำรวจต้องการท่องเที่ยวแบบสโลว์ทราเวล หรือท่องเที่ยวแบบเนิบช้า ได้ใช้เวลาอย่างเต็มที่ และเลือกความสงบและการพักผ่อนมากกว่าการท่องเที่ยวแบบผจญภัย

ขณะที่โรงแรมและที่พักต่างๆ มีการปรับตัวเพื่อรองรับกระแส sleep tourism โดยจัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อการนอนหลับ เช่น ผ้าปิดตา ไฟที่ปรับแสงสีได้ และหมอนที่นอนหนุนสบาย รวมถึงที่นอนแบบปรับอุณหภูมิได้

อมานดา อัล-มาสรี รองประธานด้านสุขภาวะของโรงแรมฮิลตันบอกว่า “นักท่องเที่ยวที่สนใจใน sleep tourism จะมองหาประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวก และสภาพแวดล้อมที่จะช่วยให้พวกเขาเข้าถึงการนอนหลับและผ่อนคลาย”

เครื่องอำนวยความสะดวกสบายสำหรับการนอนหลับที่ดี จึงกลายเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่นี้ ซึ่งทางโรงแรมอาจถูกคาดหวังว่าจะต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น ที่นอนอัจฉริยะ นักสะกดจิตเพื่อกล่อมให้หลับ เสียงบรรยากาศที่สร้างความรู้สึกผ่อนคลาย พนักงานนวด หมอนที่ออกแบบมาเฉพาะท่านอนของแต่ละบุคคล ซาวน่า สปา อโรมาเธอราปี แสงไฟอัจฉริยะ ชาและเครื่องดื่มเบาๆ และเครื่องทำความร้อนใต้พื้นห้องพัก

ดร.เจนนิเฟอร์ แอชตัน บก.โต๊ะการแพทย์ของสำนักข่าวเอบีซีนิวส์ กล่าวว่า การนอนที่ไม่มีคุณภาพเป็นปัญหาของคนยุคปัจจุบันที่ต้องมีการบำบัด

“เราอาจคิดว่า มันคือความฟุ่มเฟือย แต่จริงๆ แล้ว มันจำเป็นต้องมีการรักษาทางการแพทย์” ดร.เจนนิเฟอร์ กล่าว

ดร.รีเบ็คกา บอกว่า การท่องเที่ยวปัจจุบันนั้นโคจรอยู่รอบกลยุทธ์การนอนหลับที่มีสุขภาวะ ซึ่งทางโรงแรมจะรับรองแขกที่เข้าพักด้วยอุปกรณ์ที่ช่วยให้นอนหลับได้ดี รวมถึงจัดเตรียมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ที่มีชื่อเสียงเพื่อให้ความช่วยเหลือในกรณีที่อาจมีความจำเป็น

“ตอนนี้ฉันคิดว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างมโหฬารในความตระหนักร่วมกันถึงการให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตและการมีชีวิตที่ดี” ดร. รีเบ็คกากล่าว

ดร. รีเบ็คกากล่าวว่า สำหรับคนที่มาใช้บริการเหล่านี้แล้วยังไม่เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น อาจมีสาเหตุจากความผิดปรกติเกี่ยวกับการนอนหลับ เช่น มีอาการหยุดหายชั่วขณะตอนหลับ อาการขาอยู่ไม่สุข หรืออาจเป็นโรคนอนไม่หลับ

“ความคิดเรื่องการท่องเที่ยวที่ทำให้กลับมากระปรี้กระเปร่า คืนความสดชื่นและฟื้นฟูพละกำลังให้กับคุณนั้นเป็นข้อเสนอที่น่าตื่นตาตื่นใจ” ดร.รีเบ็คกา กล่าว


อ้างอิง
The rise of sleep tourism
What is Sleep Tourism? Here's Everything You Need to Know About a Sleep Vacation