Skip to main content

Libertus Machinus
 

 


ตอนต้นเดือนกรกฎาคม 2024 การเลือกตั้งทั่วไปในอังกฤษและฝรั่งเศสสิ้นสุดลงช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ซึ่งผลรวมๆ ก็คือ "ฝ่ายขวา" ของทั้งสองประเทศพ่ายแพ้ให้กับ "ฝ่ายซ้าย" 

หลายคนอาจรู้สึกโล่งใจในปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะจะดูเป็นการถดถอยของฝ่ายขวาในยุโรป แต่ความเป็นจริงอาจต่างออกไปมาก

 

อังกฤษ และฝรั่งเศส คะแนนเสียงฝั่งอนุรักษ์นิยมเทไปพรรคขวาจัด

 

เคสของอังกฤษ ความพ่ายแพ้ต่อพรรคแรงงานของ พรรคอนุรักษ์นิยม (Conservative) หรือที่คอการเมืองเรียกว่า "ทอรี่" ถ้าไปดูคะแนน จะเห็นว่าจริงๆ แล้ว พรรคแรงงานไม่ได้คะแนนเสียงมากขึ้น แต่พรรคอนุรักษ์นิยมต่างหากที่เสียคะแนนเสียงไป ถามว่าคะแนนเสียงไปไหน คำตอบคือ น่าจะไปที่พรรค "ขวาจัด" ของอังกฤษอย่าง Reform UK ซึ่งก่อนหน้านี้ชื่อว่า พรรค Brexit Party

ถ้าไปดูคะแนนเสียงจะเห็นว่า พรรค Reform UK เข้าไปแย่งคะแนนเสียงพรรคอนุรักษ์นิยมในเขตต่างๆ จนทำให้ ส.ส. พรรคอนุรักษ์นิยมแพ้ ส.ส. พรรคแรงงาน และสอบตกกันกระจุยกระจาย ซึ่งถ้าลองไปดูคะแนนเทียบกับเลือกตั้งรอบก่อน Brexit Party ได้คะแนนไม่ถึง 1 ล้านเสียงด้วยซ้ำ แต่คราวนี้คือได้กว่า 4 ล้านเสียง หรือได้คะแนนอันดับ 3 ด้วยซ้ำ 

แต่พอดีอังกฤษไม่มีระบบแบบปาร์ตี้ลิสต์ คะแนนจึง "ตกน้ำ" หมด พรรคนี้เลยแทบไม่ได้ ส.ส. เลย หรือสรุปง่ายๆ คือ ถ้าดูผลเลือกตั้งเผินๆ อังกฤษดูจะซ้ายขึ้น แต่ความจริงคือ ฐานคะแนนเสียงพรรคฝ่ายซ้ายอย่างพรรคแรงงานไม่ได้เปลี่ยน แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือคนมองว่าพรรคอนุรักษ์นิยมมัน "ขวา" ไม่พอแล้ว และทำให้คะแนนเดิมของพรรคอนุรักษ์นิยมเทไปที่พรรคขวาจัดกว่าอย่าง Reform UK นั่นเอง

เคสของฝรั่งเศส ถ้าระบบเลือกตั้งฝรั่งเศสเป็นแบบประเทศอื่น ตอนนี้อาจได้เห็นรัฐบาลขวาจัดไปแล้ว แต่ฝรั่งเศสใช้ระบบเลือกตั้งสองรอบ ระบบคือ คนจะชนะเลือกตั้งรอบแรกแบบจบเลยมีได้กรณีเดียว คือได้คะแนนเสียง 50% ของ 'คนที่มาโหวต' ซึ่งนั่นต้องเป็นเสียงอย่างต่ำ 25% ของ 'คนที่มีสิทธิ์โหวต' ในเขตนั้นๆ ถ้าไม่เป็นแบบนั้น จะมีการเลือกตั้งรอบสองเกิดขึ้นในอีกสัปดาห์ถัดมา โดยคนที่จะ 'เข้ารอบสอง' ไปให้ประชาชนเลือกอีกครั้ง คือ ทุกคนในเขตที่ได้คะแนนเกิน 12.5% และการเลือกรอบสองก็ใช้ระบบปกติ ใครได้คะแนนที่ 1 ก็เป็นเป็น ส.ส. ไป ซึ่งระบบแบบนี้ถ้าไม่ชนะเด็ดขาดจะเกิดการเลือกตั้งรอบสอง และเปิดโอกาสให้มีการ "โหวตเชิงกลยุทธ" หรือให้พรรคต่างๆ รวมคะแนนกันเพื่อกันพรรคอื่นได้ ส.ส. ในเขต

สิ่งที่พรรคขวาจัดอย่าง National Rally โดนก็คือ พรรคชนะรอบแรกก็จริงแต่ชนะไม่ขาด พอต้องไปต่อรอบสอง พรรคซ้ายจัด กับพรรค "กลางจัด" ของ มาครง ทำการฮั้วกันเพื่อรวมคะแนนเสียงในแต่ละเขต ทำให้สุดท้ายคนของสองพรรคนี้ชนะพรรคขวาจัดไปได้

ประเด็นคือ ถ้าเป็นระบบที่เลือกตั้งรอบเดียวแบบประเทศอื่นจะไม่เป็นแบบนี้ และพรรคขวาจัดที่ได้คะแนนเสียงมากขึ้นอย่างล้นหลามก็จะชนะ เป็นพรรคที่ได้คะแนนเสียงมากที่สุด และมีสิทธิ์จัดตั้งรัฐบาลตามมารยาททางการเมืองทั่วไปในโลก

ในเคสอังกฤษและฝรั่งเศส เราจะมองว่าพรรคขวาจัดพ่ายแพ้ก็ได้ แต่ข้อเท็จจริงก็คือ การเลือกตั้งรอบนี้พรรคที่เป็นปีกขวาจัดของทั้งสองประเทศได้คะแนนเสียงมากขึ้นแบบมหาศาลจากการเลือกตั้งรอบก่อน

ถ้าจะให้เห็นปรากฎการณ์ทำนองนี้ชัดๆ เราอาจต้องย้อนไปดูในระดับสภายุโรปในตอนต้นเดือนมิถุนายน 2024 ที่ทำเอาหลายคนสะดุ้ง

แต่ก่อนอื่น เราอาจต้องทำความเข้าใจการเลือกตั้งสภายุโรปก่อน

 

ผลเลือกตั้งสภายุโรปล่าสุด เอียงไปขวา

 

สภายุโรปก็มี "พรรคการเมือง" หรือ "กลุ่มการเมือง" แต่พรรคและพวกนี้จะใช้ชื่อไม่เหมือนพรรคการเมืองในระดับประเทศ ซึ่งหลักๆ จะมีพรรคและกลุ่มที่สะท้อนอุดมการณ์ต่างๆ หลักๆ ที่จะแทบพบได้ในชาติยุโรปทุกชาติ และปกติพรรคพวกนี้ในแต่ละประเทศ จะจับมือกันแล้วส่งคนของพรรคตัวเองลงชิงชัยในนามพรรคร่วมแห่งสหภาพยุโรป หรือกลุ่มพันธมิตรบางอย่าง เช่น พรรคขวากลางในแต่ละประเทศก็จะส่งคนลงในนาม กลุ่มประชาชนยุโรป (European People’s Party หรือ EPP) พรรคฝ่ายซ้ายก็จะส่งในนาม กลุ่มพันธมิตรก้าวหน้าสังคมนิยมและประชาธิปไตย (Progressive Alliance of Socialists and Democrats หรือ S&D) เป็นต้น

เราจะไม่ลงรายละเอียดกลุ่มทั้งหมดในสภายุโรปเพราะมันมีเป็นสิบกลุ่ม แต่เราอยากโฟกัสที่ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มอนุรักษ์นิยม กับกลุ่มขวาจัดในสภายุโรป กลุ่มแรกเรียกว่า กลุ่มอนุรักษ์นิยมและนักปฏิรูป (European Conservatives and Reformists หรือ ECR) กลุ่มที่สองเรียกว่า กลุ่มผู้รักชาติแห่งยุโรป (Patriots for Europe หรือ Patriot)

ประเด็นคือ การเลือกตั้งรอบนี้ 2 กลุ่มนี้ได้คะแนนมากขึ้นมากๆ และทำให้มีสมาชิกสภายุโรปที่เป็นขวาเพิ่มขึ้น ซึ่งสิ่งที่สำคัญก็คือ ถึงพวกนี้จะคุมสภาไม่ได้ แต่การ "ร่วมรัฐบาล" กับพรรคขวากลางมันก็จะทำให้วาระต่างๆ ในสภายุโรปเอียงไปทางขวาขึ้นแน่นอน

แพตเทิร์นในทุกประเทศไปทางเดียวกันหมด แม้ว่าชาติส่วนใหญ่ ฝ่ายขวาจัดจะไม่ได้คะแนนเสียงมากมายจนชวนให้สะดุ้งแบบฝรั่งเศส ออสเตรีย และเนเธอร์แลนด์ และชาติส่วนใหญ่ไม่ใช่ดินแดนที่ฐานเสียงหลักเป็นอนุรักษ์นิยมอย่างอิตาลีและโปแลนด์ แต่แพตเทิร์นของทุกประเทศชัดเจนว่า คะแนนเสียงมัน "เอียงไปทางขวา" มากขึ้น กลุ่มอนุรักษ์นิยมที่มีที่ยืนอยู่แล้วในสภายุโรปแข็งแรงเพราะได้ ส.ส. เพิ่มขึ้น ส่วนกลุ่มขวาจัดที่ก่อนหน้านี้มีจำนวน ส.ส. ไม่มาก ก็มี ส.ส. มากขึ้นจนมากกว่าฝั่งอนุรักษ์นิยมอีก

ทุกคนที่ "มองไปข้างหน้า" ก็น่าจะเห็นว่ามันแทบไม่มีทางเลยที่การเลือกตั้งทุกระดับในยุโรปครั้งถัดไป ทั้งฝ่ายอนุรักษ์นิยมและฝ่ายขวาจัดจะได้คะแนนน้อยลง และหลายๆ ประเทศการเมืองก็ไม่ได้เป็นระบบ 2 พรรคใหญ่แบบอังกฤษที่ฝ่ายขวาจัดกับอนุรักษ์นิยมตัดตะแนนกันเอง หรือเป็นระบบเลือกตั้ง 2 รอบแบบฝรั่งเศสที่มีโอกาสให้ประชาชนโหวตเชิงกลยุทธ์ให้พรรคขวาจัดไม่ได้ครองสภา

เพราะในประเทศยุโรปส่วนใหญ่การเมืองเป็นระบบหลายพรรค และการเลือกตั้งเป็นแบบเลือกตั้งรอบเดียว ซึ่งในระบบแบบนี้ โอกาสที่การเลือกตั้งครั้งถัดๆ ไปฝ่ายขวาจัดจะมีที่นั่งในสภาเพิ่มขึ้นก็มีสูงมาก และนี่ก็เป็นสิ่งที่คนในหลายๆ ชาติกังวลพอสมควรเลย

แต่ก็นั่นเอง การมีรัฐบาลขวาจัดก็ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย เพราะทุกวันนี้ฮังการีก็มีรัฐบาลขวาจัด (ยังไม่ต้องไปพูดถึงอย่างรัสเซียหรือกระทั่งอินเดีย) คือ ตราบที่ยังมีรัฐธรรมนูญและกลไกถ่วงดุลอำนาจอยู่ ถึงชนะเลือกตั้งมา มันก็ทำอะไรตามอำเภอใจไม่ได้ และสุดท้ายระบบประชาธิปไตยมันก็จัดการตัวเองได้อยู่ดี

กล่าวคือพรรคพวกนี้ถ้าชนะเลือกตั้ง ก็ชนะด้วยเสียงประชาชนตามกติกาที่กำหนด ซึ่งกติกามันเอื้อให้ประชาชน "เปลี่ยนใจ" ได้เรื่อยๆ ในรอบการเลือกตั้ง เช่น ในอังกฤษแม้ว่าจะปั่นกระแสกันจนทำให้อังกฤษแยกตัวจากสหภาพยุโรปหรือเกิด Brexit ได้ แต่พอเกิดขึ้นแล้ว คนอังกฤษจำนวนมากเห็นภาพเศรษฐกิจจริงหลัง Brexit ก็เปลี่ยนใจและถอยห่างจากพรรคอนุรักษ์นิยม เป็นต้น

แน่นอน มันก็จะมีประชาชนกลุ่มหนึ่งศรัทธาในพรรคขวาจัดจริงๆ แต่โดยทั่วไปก็ไม่ใช่ประชาชนส่วนใหญ่ และนั่นก็ทำให้ถึงแม้ว่า พรรคขวาจัดจะส่งตัวแทนไปในสภาได้จริงๆ ก็จะไม่ใช่ชัยชนะแบบแลนด์สไลด์ แต่ก็ต้องไปร่วมรัฐบาลกับพรรคอื่นๆ ที่สุดขั้วน้อยกว่า และก็จะทำให้พวกนโยบายขวาจัดของพรรคพวกนี้เจือจางกันไปเองตามการต่อรองทางการเมืองในสภา

ดังนั้น ในการเมืองระดับชาติยุโรป ว่ากันตรงๆ ก็คือ ถึงพรรคขวาจัดจะอยู่ขาขึ้น แต่แนวโน้มที่จะยิ่งใหญ่ระดับครองประเทศนี่ก็ยังอีกไกล และในสภาพตอนนี้ แม้แต่ในถิ่นขวาจัดยุโรปแบบฝรั่งเศสปัจจุบัน การเลือกตั้งประธานาธิบดีคราวนี้ก็ยากที่จะลุ้นว่า จะได้ประธานาธิบดีขวาจัด

แต่ถ้าจะมีสิ่งที่น่ากลัว ก็คือ การขยายตัวของฝ่ายขวาจัดในสภา มันจะกลับมาสร้างความชอบธรรมให้กับฝ่ายขวาจัดบนท้องถนน ซึ่ง "บทเรียน" พวกนี้เราได้เห็นแล้วหลัง โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดี ซึ่งผลรวมๆ มันทำให้สังคมวุ่นวายสุดๆ เพราะความอหังการ์ของกลุ่มขวาจัด ทำให้เกิดกลุ่มซ้ายจัดเกิดขึ้นตามมา และทำให้ในสังคมบรรยากาศเต็มไปด้วยความเป็นศัตรูกัน จนทำให้หลายๆ เรื่องที่ควรจะคุยกันดีๆ ได้ กลับคุยกันดีๆ ไม่ได้ เพราะความแตกแยกในสังคมทำให้คนระแวงตั้งแง่ต่อกันในทุกเรื่อง

สิ่งเหล่านี้น่าจะไม่ต้องอธิบายให้ "ชาวไทย" อย่างเราๆ ฟัง เพราะเราเห็นมาตลอดในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมาแล้วว่า การตัดสินคนตื้นๆ จากจุดยืนทางการเมืองมันเป็นเรื่องปกติมาก และการแย้งสิ่งที่คนที่มีจุดยืนต่างจากที่เราแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก ก็เป็นเรื่องปกติเช่นกัน แต่นั่นก็ทำให้เราหลงลืมและพลาดอะไรหลายๆ อย่างไปเหมือนกัน


อ้างอิง
2024 European election results
European Conservatives and Reformists
Patriots for Europe
 

อ่านบทความอื่นๆ ของผู้เขียน