|
วันเด็กแห่งชาติปีนี้ Rocket Media Lab ร่วมกับมูลนิธิแพธทูเฮลท์ ออกทำแบบสอบถามนักเรียน ตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 - มัธยมศึกษาปีที่ 6 ทั่วประเทศ ในช่วงวันที่ 9 – 11 มกราคม 2567 เพื่อสำรวจความคิดเห็นในประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบการศึกษาที่นักเรียนไทยประสบอยู่
นักเรียนที่ตอบแบบสอบถามทั่วประเทศทั้งหมด 1,985 คน เป็นนักเรียนระดับประถมศึกษา 163 คน มัธยมศึกษา 1,772 คน และ ปวช. 50 คน โดยเป็นนักเรียนจากพื้นที่ภาคกลางมากที่สุด 746 คน คิดเป็น 37.58% รองลงมาคือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 709 คน คิดเป็น 35.72.% ภาคเหนือ 248 คน คิดเป็น 12.49% ภาคใต้ 194 คน คิดเป็น 9.77% ภาคตะวันออก 49 คน คิดเป็น 2.47% และ ภาคตะวันตก 39 คน คิดเป็น 1.9%
สถานที่ใดในโรงเรียนที่ “อยากให้ปรับปรุงมากที่สุด”
ผลสำรวจพบว่า “ห้องน้ำ” เป็นสถานที่ที่นักเรียนอยากให้ปรับปรุงมากที่สุด ถึง 1,388 คน คิดเป็น 96.92% รองลงมาคือ ห้องเรียน 187 คน คิดเป็น 9.42% โรงอาหาร 156 คน คิดเป็น 7.86% สนามกีฬา 142 คน คิดเป็น 7.15% ห้องพยาบาล 31 คน คิดเป็น 1.56% ห้องสมุด 27 คน คิดเป็น 1.36% อื่นๆ 54 คน คิดเป็น 2.72% เช่น ห้องพักครู โดม หอประชุม โรงรถ ห้องเก็บของ และบางส่วนก็เขียนตอบว่าทุกข้อ
กฎระเบียบของโรงเรียนที่นักเรียน “ไม่ชอบที่สุด”
สำหรับคำถามว่ากฎเกณฑ์ของโรงเรียนเรื่องใดที่นักเรียนไม่ชอบมากที่สุดนั้น พบว่านักเรียนไม่ชอบให้โรงเรียนกำหนดทรงผมมากที่สุด โดยมีนักเรียนตอบข้อนี้ 990 คน คิดเป็น 49.87% รองลงมาก็คือ ยึดโทรศัพท์ก่อนเข้าเรียน เป็นจำนวน 209 คน คิดเป็น 10.5% อันดับสามคือ ห้ามแต่งหน้า จำนวน 195 คน คิดเป็น 9.82% บังคับใช้กระเป๋าของโรงเรียน 150 คน 7.56% ห้ามทำสีผม 121 คน 6.10% เล็บต้องสั้น 100 คน คิดเป็น 5.04% กำหนดรูปแบบถุงเท้า 59 คน คิดเป็น 2.97% กำหนดความยาวกางเกง/กระโปรง 29 คน คิดเป็น 1.46% บังคับใส่เสื้อซับใน 16 คน คิดเป็น 0.81% อื่นๆ 116 คน คิดเป็น 5.84% เช่น ห้ามใส่เสื้อแขนยาวเสื้อกันหนาวหน้าร้อน ห้ามใส่เครื่องประดับ
นอกจากนี้ยังพบว่าทั้งนักเรียนชั้นประถมศึกษา มัธยมศึกษา และ ปวช. ต่างตอบว่ากฎที่ไม่ชอบมากที่สุดคือกำหนดทรงผมเหมือนกัน ขณะที่นักเรียนทุกภาคตอบข้อนี้มากที่สุดเช่นกัน และมีความน่าสนใจว่ากฎเรื่องยึดโทรศัพท์ก่อนเข้าเรียนนั้น นักเรียนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอบข้อนี้มากที่สุดกว่าภาคอื่นๆ ในขณะที่กฎเรื่องห้ามแต่งหน้านั้นพบว่านักเรียนที่ตอบข้อนี้มากที่สุดอยู่ในภาคกลาง
การลงโทษของครูที่ไม่ชอบที่สุด
จากการสำรวจพบว่า การลงโทษที่นักเรียนไม่ชอบที่สุด คือ การประจานต่อหน้าเพื่อน คิดเป็น 39.14% รองลงมาคือ การด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย 17.93% ตามมาด้วยการกล้อนผมหรือตัดผม 12.49% การยึดโทรศัพท์ 9.17% สกอตจัมป์/วิ่งรอบสนาม 6.55% การตี 5.39% ให้นั่งตากแดด 3.32% และอื่นๆ เช่น หักคะแนนความประพฤติ เก็บเงิน/โดนปรับด้วยเงิน ยึดของ 5.99%
นอกจากนี้ยังพบว่า ในกลุ่มของนักเรียนเพศชายและ LGBTQ+ ไม่ต้องการให้ลงโทษด้วยการกล้อนผมหรือตัดผมมากเป็นอันดับสอง ส่วนการลงโทษด้วยการตีนั้น เป็นสิ่งที่นักเรียนหญิงไม่ต้องการมากกว่าเพศอื่นๆ
เรื่องที่อยากให้ครูเข้าใจและช่วยเหลือมากที่สุด
เรื่องที่นักเรียนอยากให้ครูเข้าใจและช่วยเหลือมากที่สุด คือ การเข้าใจเงื่อนไขชีวิตที่ต่างกันของนักเรียน เช่น ปัญหาครอบครัว ปัญหาส่วนตัว คิดเป็น 40.65% รองลงมา อยากให้เข้าใจเรื่องสุขภาพจิตของนักเรียน เช่น อาการซึมเศร้า วิตกกังวล 21.21% อันดับสามคือ ความแตกต่างทางกายภาพ เช่น รูปร่าง ความสูง สีผิว 19.24% ความหลากหลายทางเพศ 14.21% และอื่นๆ 4.69% เช่น ความสามารถที่แตกต่างกันของนักเรียน หรือการโดนบูลลี่
สิ่งที่ “ไม่อยาก” ให้ครูทำมากที่สุด
อันดับหนึ่ง คือ การล้อเลียนนักเรียนด้วยเรื่องทางกายภาพ เพศ ชาติพันธุ์ สำเนียง 22.52% รองลงมาก็คือ การสั่งการบ้าน 20.15% พูดจาหยาบคายกับนักเรียน 14.61 % เลือกที่รักมักที่ชัง 14.11%
การสั่งงานที่ทำให้เกิดภาระทางการเงิน 12.04% แตะเนื้อต้องตัวนักเรียน 3.17% การนินทานักเรียนลงโซเชียลมีเดีย 2.97% และใช้ให้นักเรียนทำงานส่วนตัวของครู 2.72% รับสอนพิเศษแล้วออกข้อสอบ 2.12% โพสต์คลิป/ภาพถ่ายของนักเรียนลงโซเชียลมีเดีย 1.61% และ อื่นๆ 3.98% เช่น นินทานักเรียนให้ครูคนอื่นหรือห้องอื่นฟัง สั่งงานในช่วงก่อนสอบหรือสั่งงานมากเกินไป
ในหัวข้อนี้ยังพบว่า นักเรียนชั้นประถมศึกษา มีจำนวนมากที่สุดที่ไม่ต้องการให้ครูพูดจาหยาบคายด้วย ส่วนนักเรียนชั้นมัธยม ไม่อยากให้ครูล้อเลียนด้วยเรื่องกายภาพ เช่นเดียวกับนักเรียน ปวช. รวมถึงการสั่งงานที่ทำให้เกิดภาระทางการเงิน
ส่วนนักเรียนภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่อยากให้ครูสั่งการบ้านมากที่สุด นักเรียนในภาคตะวันตกไม่ต้องการให้ครูเลือกที่รักมักที่ชังมาเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนภาคอื่นๆ ไม่ต้องการให้ครูล้อเลียนนักเรียนด้วยเรื่องกายภาพ เพศ ชาติพันธุ์ สำเนียง
สิ่งที่นักเรียน “อยากให้มี" มากที่สุด
สิ่งที่นักเรียนอยากให้มีมากที่สุด คือ การลดชั่วโมงเรียนลง คิดเป็น 38.14% รองลงมา คือ การใส่ชุดไปรเวทไปโรงเรียน 19.45% อันดับสาม อยากให้มีกิจกรรมประเมินครู 11.64% การแต่งชุดนักเรียนตามเพศสภาพ 9.52% มีนักจิตวิทยาในโรงเรียน 8.32% อินเทอร์เน็ตฟรี 7.91% และอื่นๆ 4.03% เช่น ยกเลิกฎระเบียบทรงผม การมีคาบว่าง
หากมองในรายภาค การลดชั่วโมงเรียนลงเป็นสิ่งที่นักเรียนมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งในทุกภาค ขณะที่อันดับสอง คือ การอยากใส่ชุดไปรเวทมาเรียน ส่วนการแต่งชุดนักเรียนตามเพศสภาพ นักเรียนที่ตอบมากที่สุดเป็นเพศหญิง คิดเป็น 58.73% รองลงมาคือ LGBTQ+ คิดเป็น 23.81%
กิจกรรมที่นักเรียน “ไม่อยากให้มี” มากที่สุด
กิจกรรมที่นักเรียนอยากให้ยกเลิกมากที่สุด คือ กิจกรรมหน้าเสาธง 26.8% รองลงมาก็คือ สมุดบันทึกความดี 16.52% อันดับสามคือ กิจกรรมค่ายธรรมะ 13.9% กิจกรรมเข้าค่ายลูกเสือ 13.45% กิจกรรมสวดมนต์ 11.08% กิจกรรมวันพ่อวันแม่ 5.34% เวรทำความสะอาด 4.94% กิจกรรมจิตอาสา 4.13% อื่นๆ 3.83% เช่น กิจกรรมกีฬาสี บันทึกรักการอ่าน กิจกรรม 5 ส.
การสำรวจพบว่า กิจกรรมที่นักเรียนประถม อยากให้ยกเลิกอันดับหนึ่ง คือ กิจกรรมค่ายธรรมะ ส่วนกิจกรรมหน้าเสาธงมาเป็นอันดับสอง ในขณะที่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ต้องการให้ยกเลิกกิจกรรมหน้าเสาธงมาเป็นอันดับหนึ่ง อันดับสองคือสมุดบันทึกความดี ขณะที่นักเรียนเกือบทุกภาคอยากให้ยกเลิกกิจกรรมหน้าเสาธงมากที่สุด ยกเว้นนักเรียนภาคเหนือที่อยากให้เลิกยกกิจกรรมเข้าค่ายลูกเสือมาเป็นอันดับหนึ่ง
วิชาที่อยากให้ยกเลิกที่สุด
พบว่า วิชาลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด บำเพ็ญประโยชน์ เป็นวิชาที่นักเรียนอยากให้ยกเลิกมากที่สุด คิดเป็น 61.26% รองลงมาก็คือ วิชาพุทธศาสนา 11.34% อันดับสามก็คือ วิชาหน้าที่พลเมือง 6.45% วิชาชุมนุม/ชมรม 6.40% นาฏศิลป์ 6.15% พลศึกษา 2.02% อื่นๆ 6.4% เช่น แนะแนว คณิตศาสตร์ กระบี่กระบอง
การสำรวจพบว่า วิชานาฏศิลป์เป็นวิชาที่นักเรียนหญิงต้องการให้ยกเลิกมากที่สุดถึง 59.02% รองลงมา คือ วิชาพลศึกษา คิดเป็นสัดส่วนถึง 80%
วิชาที่อยากให้มีที่สุด
วิชาที่นักเรียนอยากให้มีมากที่สุด คือ การเงิน การลงทุน โดยมีนักเรียนที่เลือกตอบข้อนี้ คิดเป็น 39.7% รองลงมาก็คือ วิชาว่าด้วยการใช้สื่อโซเชียลมีเดีย 20.96% อันดับสามคือ วิชาอีสปอร์ต 19.95% แดนซ์ 13.5% อื่นๆ 5.89% เช่น ปฐมพยาบาลเบื้องต้น วิชาการป้องกันตัว แต่งหน้าทำผม ทำอาหาร
การสำรวจพบว่า นักเรียนประถมต้องการให้มีการสอนใช้สื่อโซเชียลมีเดียมาเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาก็คือวิชาอีสปอร์ต ส่วนนักเรียนระดับมัธยมศึกษาเลือกวิชาการเงิน การลงทุน มาเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาก็คือวิชาอีสปอร์ต ขณะที่นักเรียนทุกภาคเลือกวิชาการเงิน การลงทุน มาเป็นอันดับหนึ่ง อันดับสอง คือ วิชาว่าด้วยการใช้สื่อโซเชียลมีเดีย
สนใจดูข้อมูลทั้งหมดที่ rocketmedialab.co/database-student-q1-2024