- รัฐบาลทำงานหวานเย็น วัคซีนล่าช้า ประเทศเสียหายทางเศรษฐกิจ 2.5 แสนล้านบาท
- ชี้แผนฉีดวัคซีนเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา จนเชื่อไม่ได้
- ถามทำไมซื้อวัคซีน 'ซิโนแวก' ไม่ซื้อ 'ซิโนฟาร์ม' สาเหตุมาจากเจ้าสัวใหญ่ใช่ไหม?
- อัดข้ออ้างเข้าร่วม 'โคแวกซ์' ฟังไม่ขึ้น แต่กระจุกความเสี่ยงที่แอสตราเซเนกาเท่านั้น
- หลายประเทศไม่ให้ผู้สูงอายุฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกา แต่ไทยยังยืนยันให้ผู้สูงอายุก่อน
- 'บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์' ชื่อนี้มีมาแต่แรก เพราะรัฐบาลไทยหนุน
- ย้ำให้อภัยไม่ได้รู้ทั้งรู้เอกชนเกี่ยวข้องกับสถาบันฯ ไม่ควรใช้ ม.112 ปิดปาก
วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ลุกขึ้นอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะที่เป็นผู้ทำให้ประชาชนได้รับวัคซีนป้องกันโควิดล่าช้า ทำประเทศเสียหาย เอาปากท้องประชาชนไปเสี่ยงกับการรอรับวัคซีนจากบริษัทเดียว ซึ่งสามารถแยกเป็นหัวข้อได้ดังนี้
- รัฐบาลทำงานหวานเย็น วัคซีนล่าช้า ประเทศเสียหายทางเศรษฐกิจ 2.5 แสนล้านบาท
ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และอนุทิน รู้ว่า หากวัคซีนโควิดล่าช้า 1 เดือนความเสียหายทางเศรษฐกิจจะเท่ากับ 2.5 แสนล้านบาท ทั้งสองคนจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ ทั้งที่ประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนอย่าง เมียนมา, ลาว, อินโดนีเซีย, และกัมพูชา ต่างทยอยฉีดวัคซีนให้กับคนในประเทศกันแล้ว
- ชี้แผนฉีดวัคซีนเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา จนเชื่อไม่ได้
อีกทั้ง การปรับเปลี่ยนแผนฉีดวัคซีนที่ไม่มีความแน่นอนของทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และอนุทินเองอาจทำให้เกิดปัญหาตามมาได้ ทั้งในเรื่องของจำนวนวัคซีนที่มีการเพิ่มจำนวนขึ้นจากแผนเดิมที่วางไว้ 2 เท่า พร้อมถามกลับอนุทินว่า เพิ่มจำนวนฉีดวัคซีนแล้ว จัดหาสถานที่, ระบบแจกจ่ายวัคซีน, เตรียมบุคลากรเจ้าหน้าที่ผู้ฉีด, เตรียมเข็มฉีดยา, เตรียมระบบลงทะเบียน, และระบบติดตามไว้พร้อมหรือยัง?
- ถามทำไมซื้อวัคซีน 'ซิโนแวก' ไม่ซื้อ 'ซิโนฟาร์ม' สาเหตุมาจากเจ้าสัวใหญ่ใช่ไหม?
วิโรจน์ ยังกล่าวถึงการสั่งซื้อวัคซีนซิโนแวก ของรัฐบาลว่า ในเมื่อรัฐบาลเอาเงินภาษี 1,228 ล้านบาทไปซื้อวัคซีนจากจีนมาแก้ขัดแล้วทำไมถึงไม่ตัดสินใจซื้อจากซิโนฟาร์มที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีเดียวกัน และได้รับการขึ้นทะเบียนสำหรับใช้งานทั่วไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งยังมีผลทดสอบเฟส 3 ในคนสูงถึง 79.34% และมีผลทำสอบที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มีประสิทธิภาพสูงถึง 86% และเป็นวัคซีนหลักที่จีนใช้ฉีดให้ประชาชนในประเทศ แต่ พล.อ.ประยุทธ์ กลับเลือกซื้อของซิโนแวก ที่มีข่าวว่า มีนายทุนรายหนึ่งเข้าไปลงทุนด้วยเงิน 1.54 หมื่นล้านบาท เพื่อถือหุ้น 15% ทั้งที่วัคซีนซิโนแวกยังไม่ได้มีผลการทดสอบเฟส 3
- อัดข้ออ้างเข้าร่วม 'โคแวกซ์' ฟังไม่ขึ้น แต่กระจุกความเสี่ยงที่แอสตราเซเนกาเท่านั้น
นอกจากนี้ วิโรจน์ ยังพูดถึงสิ่งเลวร้ายที่สุดของรัฐบาลนี้ตามที่ อนุทินออกมาอ้างว่าที่ประเทศไทยไม่เข้าร่วมโคแวกซ์ เพราะไทยเป็นประเทศฐานะปานกลาง แต่ทำไมประเทศมาเลเซียที่มีรายได้ต่อหัวสูงกว่าไทยถึงตัดสินใจเข้าร่วมโคแวกซ์ หรือแม้แต่ประเทศใหญ่ๆ อย่างแคนาดา, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์ และประเทศในยุโรปอย่าง สวีเดน นอร์เวย์ แม้กระทั่งจีนกับสหรัฐฯ ยังตัดสินใจเข้าร่วม ทำไมไทยถือเป็นประเทศที่กล้าแสดงตัวไม่เข้าร่วม
แต่กลับจะเอาประเทศไปเดิมพันกับวัคซีนแอสตราเซเนกาเพียงเจ้าเดียว แถมยังเป็นแอสตราเซเนกา ผลิตในไทย ที่ผลิตโดยบริษัทเอกชนที่เพิ่งได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีมาและน่าจะไม่เคยผลิตวัคซีนมาก่อน ถือเป็นการเสี่ยงมากๆ
- หลายประเทศไม่ให้ผู้สูงอายุฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกา แต่ไทยยังยืนยันให้ผู้สูงอายุก่อน
หลายประเทศในยุโรป ออกมาประกาศแล้วว่า ไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกากับผู้สูงอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป เนื่องจากยังมีจำนวนผลการทดสอบวัคซีนในกลุ่มผู้สูงอายุไม่มากพอ ทั้งนี้มีบุคลากรการแพทย์บอกด้วยว่า สถานการณ์ในไทยมีการระบาดไม่รุนแรง ควรฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มคนอายุ 20-49 ปีก่อน เพราะคนกลุ่มนี้สัญจรไปมา และมีความสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ และมีโอกาสที่จะเป็นผู้แพร่เชื้อ
- 'บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์' ชื่อนี้มีมาแต่แรก เพราะรัฐบาลไทยหนุน
บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ เป็นชื่อที่ปรากฎในที่ประชุม ศบค. เมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2563 โดย ศ.นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร ที่ปรึกษา ศบค. พูดถึงบริษัทเอกชนรายหนึ่งที่มีศักยภาพผลิตวัคซีน และสามารถรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด เพื่อผลิตวัคซีนโควิด ชนิด Viral Vector ได้ และขอรัฐบาลพิจารณาสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติม และมีการพูดถึงงบสนับสนุน 600 ล้านบาท จึงเป็นหลักฐานเชื่อว่า ศบค. ตั้งธงไว้แต่แรกที่จะใช้งบประมาณแผ่นดินผลักดันให้บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ เป็นผู้ผลิตวัคซีน
- ย้ำให้อภัยไม่ได้รู้ทั้งรู้เอกชนเกี่ยวข้องกับสถาบันฯ ไม่ควรใช้ ม.112 ปิดปาก
ส่วนเรื่องสุดท้ายที่วิโรจน์กล่าวไว้คือ เรื่องที่คนไทยจะให้อภัย พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้เด็ดขาดคือรู้ทั้งรู้ว่าบริษัทเอกชนที่ชื่อว่า สยามไบโอไซเอนซ์ นั้นมีความเกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ แทนที่จะดำเนินการให้รอบคอบ ประณีต โปร่งใส จัดให้มีกระบวนการตรวจสอบอย่างเข้มข้นเพื่อปกป้องพระเกียรติ แต่กลับดำเนินการอย่างรวบรัด ขาดความโปร่งใส อำพรางข้อมูล จนเกิดความล่าช้าในการจัดหาวัคซีน ทำให้ความหวังในการฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศพัง ซ้ำเติมปากท้องประชาชน และแทนที่จะสำนึกผิด พล.อ.ประยุทธ์ กลับปิดบังความผิดใช้ ม.112 ฟ้องปิดปากคนที่ตั้งคำถามพิทักษ์ผลประโยชน์ประชาชน
ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ ลุกขึ้นชี้แจง โดยย้ำว่าถ้าเทียบกับสถานการณ์โลก ถือว่าประเทศไทยยังทำได้ดีกว่าอีกหลายประเทศ และวัคซีนจะได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์หรือไม่ต้องรอดูต่อไป แต่ยืนยันว่าทำตามคำแนะนำของเหล่าผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ ทั้งยังตอบโต้วิโรจน์ด้วยว่าถ้าหากพูดเรื่องวัคซีนมาก ๆ จะมีปัญหาในการที่เขาจะส่งหรือไม่ส่งวัคซีนมา
"ผมไม่อยากให้เรื่องวัคซีนเป็นปัญหาทางการเมือง ระมัดระวังนะครับ รับผิดชอบด้วยนะครับ ที่จองไปแล้วอะไรไปแล้ว อย่าให้มีปัญหาก็แล้วกัน จำคำพูดของท่านไว้ด้วย”