มหาเศรษฐีระดับโลกและผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ 'บิล เกตส์' กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงจะเป็น “สิ่งที่น่าทึ่งที่สุดที่มนุษยชาติทำได้” ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากกว่าการหยุดยั้งโรคระบาดมาก และทุกคนไม่ควรคิดว่าความท้าทายนี้เป็นเรื่องเล็ก
ก่อนหน้านี้ในปี 2558 เขาเคยเตือนให้ทั่วโลกเตรียมพร้อมรับมือกับโรคระบาดที่อาจลุกลามไปทั่วโลกตั้งแต่ก่อนมีโควิด-19 แต่เมื่อถึงเวลาที่โควิด-19 แพร่ระบาด หลายประเทศก็พบว่าตัวเองไม่ได้เตรียมตัวรับมือโรคระบาดอย่างมีประสิทธิภาพนัก
ครั้งนั้นเกตส์แนะนำว่าแต่ละประเทศควรเตรียมความพร้อมด้านเครื่องไม้เครื่องมือทางการแพทย์และอุปกรณ์ตรวจเชื้อให้มีเพียงพอกับประชากร รวมถึงสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาด้านการแพทย์และสาธารณสุขอย่างต่อเนื่อง ทำให้หลายคนมองว่า เกตส์มีความรู้ความสามารถในการคาดการณ์ปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างดี
ล่าสุด เกตส์ได้ออกหนังสือเล่มใหม่ชื่อว่า How to Avoid a Climate Disaster เพื่อเป็นคู่มือในการแก้ไขปัญหาโลกร้อน โดยระบุว่า ทุกปี ทั่วโลกปล่อยก๊าซเรือนกระจกขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศมากถึง 51,000 ล้านตัน แต่เป้าหมายก็คือลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนออกมาเป็น 0 เกตส์ย้ำว่า จะแก้ปัญหานี้ได้จะต้องมีความพยายามพัฒนานวัตกรรมระดับโลกอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งรัฐบาลประเทศต่างๆ จำเป็นต้องเป็นผู้เริ่มต้น และควรเป็นนโยบายต่อเนื่อง 30 ปี
ปัจจุบัน เกตส์มุ่งเป้าไปที่การพัฒนาเทคโนโลยีที่จะช่วยนำโลกไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยแหล่งพลังงานทดแทนอย่าง พลังงานลมและแสงอาทิตย์ก็ช่วยให้ก๊าซคาร์บอนจากผลิตไฟฟ้าลดลงได้ แต่นี่ก็ยังไม่ถึง 30% ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนทั้งหมด โลกยังต้องหาทางลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในอีก 70% ที่เหลือ ไม่ว่าจะเป็นเหล็ก ซีเมนต์ ระบบขนส่ง การผลิตปุ๋ย และอีกหลายอย่างที่ยังไม่พบสิ่งทดแทนที่ช่วยลดคาร์บอนและใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ
::: รัฐบาลต้องส่งสัญญาณให้ภาคเอกชนจริงจังกับนโยบายสีเขียวด้วย :::
เกตส์ระบุว่า ปัจจุบัน ระบบเศรษฐกิจไม่ได้คำนวณค่าใช้จ่ายที่แท้จริงจากการใช้เชื้อเพลิงดึกดำบรรพ์ คนจำนวนมากก็ไม่ค่อยใส่ใจกับผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากมลพิษจากน้ำมันรถยนต์หรือถ่านหิน หรือแก๊สที่ถูกใช้ในการผลิตไฟฟ้าในบ้านเรือนของผู้คน เพราะ “ยังไม่เห็นความเจ็บปวดที่คุณกำลังสร้างขึ้นจากการปล่อยก๊าซคาร์บอน”
ด้วยเหตุนี้ เกตส์จึงเห็นว่า รัฐบาลควรเข้าไปแทรกแซง ส่งสัญญาณให้ภาคเอกชนรับรู้ว่าโลกต้องการสินค้าสีเขียว รัฐบาลต้องทุ่มเงินลงทุนมหาศาลไปกับการวิจัยและพัฒนา รวมถึงส่งเสริมให้ตลาดมีผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีใหม่และเติบโตได้ ด้วยการช่วยทำให้ราคาสินค้าและเทคโนโลยีเหล่านี้ต่ำลง เพราะธุรกิจไม่สามารถจะแค่เปลี่ยนโครงสร้างทางกายภาพได้ นอกจากตลาดจะส่งสัญญาณอย่างต่อเนื่องและชัดเจนว่าจ้องการเปลี่ยนแปลง
แม้ที่ผ่านมา เกตส์มักกล่าวว่า กฎระเบียบของรัฐเป็นอุปสรรคต่อนวัตกรรม แต่เขายืนยันว่า ตัวเขาสนับสนุน “หน้าที่หลักของรัฐบาลในการจัดสรรถนน ความยุติธรรม การศึกษา และวิจัยทางวิทยาศาสตร์” มาตลอด และเขาคิดว่า ประเด็นเรื่องสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงเป็นภัยพิบัติที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ โดยเฉพาะคนที่อาศัยแถวเส้นศูนย์สูตร หากรัฐบาลทั่วโลกไม่ช่วยกัน
เกตส์ยังกล่าวว่า การบริโภคให้น้อยลง ขึ้นเครื่องบินน้อยลง กินอาหารท้องถิ่น ใช้ไฟฟ้าหรือน้ำมันน้อยลง ของปัจเจกไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา เพราะความต้องการของประชาชนจำนวนมากไม่ได้ลดลง คนยังต้องการที่อยู่อาศัย มีไฟฟ้าใช้ มีเครื่องปรับอากาศที่จะช่วยให้ใช้ชีวิตประจำวันได้ ไม่ร้อนหรือหนาวจนร่างกายทนไม่ได้ นโยบายทางการเมืองสำคัญกว่ามาก เพราะจะกำหนดทิศทางตลาดให้ใช้สินค้าที่ทำลายสิ่งแวดล้อมน้อยลง เมื่อคนใช้กันมากขึ้น ราคาก็จะถูกลง