Skip to main content

สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีของจีน กำลังใช้การทูตผ่านการเจรจาแบบตัวต่อตัวเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับประเทศในเอเชียที่เป็นพันธมิตรของอเมริกา เมื่อเขาเริ่มการพบกันเเบบซึ่งหน้าเป็นครั้งเเรกตั้งแต่ปี 2020 ตามรายงานของสำนักข่าวเอพี

แม้ว่า ผู้นำจีนจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงท่าทีเเข็งขันเรื่องไต้หวันและทะเลจีนใต้ แต่เขาให้ความสำคัญกับบทบาทของรัฐบาลจีนด้านเศรษฐกิจมากขึ้นที่การประชุมเอเปค เมื่อมีโอกาสเจรจากับประเทศต่างๆ ในเอเชีย ที่การประชุมสุดยอดเอเปคที่กรุงเทพฯ

สำนักข่าวเอพีรายงานว่าเมื่อจีนเพิ่มบทบาทของตนมากขึ้น การทูตของรัฐบาลปักกิ่งก็มีความละเอียดอ่อนเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว หลังจากที่จีนเคยสร้างความไม่พอใจด้วยแนวทางเเข็งกร้าวในอดีต

ดริว ธอมป์สัน ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสที่กำลังทำวิจัยที่สถาบัน Lee Kuan Yew School of Public Policy ที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติของสิงคโปร์กล่าวว่า "แนวทางการข้องเกี่ยวทางการทูตกับประเทศต่างๆ ของสี จิ้นผิง และเสียงประสานของโฆษณาชวนเชื่อ ต้องการที่จะสร้างภาพฉากหน้าให้มีความอ่อนลง และยิ้มเเย้มมากขึ้น"

และสิ่งที่เกิดขึ้นดูเหมือนเป็นความพยายามลดความตึงเครียดโดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐฯ และประเทศในสหภาพยุโรป ที่ต่างวิพากษ์วิจารณ์ รวมทั้งสร้างความไม่พอใจและตั้งมั่นที่จะเเข่งขันกับจีน

สีกล่าวที่การประชุมเอเปคว่า "จีนพร้อมที่จะหาทางอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และหาทางสร้างการพัฒนาร่วมกันกับทุกประเทศ บนพื้นฐานของการเคารพกันเเละกัน ความเท่าเทียมและผลประโยชน์ร่วม”

ดริว ธอมป์สัน กล่าวว่าการกลับมาสู่เวทีระหว่างประเทศอีกครั้งขอสี จิ้นผิงหลังจากที่อยู่ในประเทศจีนมาตลอดเป็นเวลากว่าสองปีช่วงการระบาดของโคโรนาไวรัส "เป็นการยืนยันต่อหลาย ๆ ประเทศ อีกครั้ง หากว่าประเทศเหล่านั้นต้องการมีการติดต่อกันกับบุคคลระดับสูงสุดและอาจกล่าวได้เวลาเป็นบุคคลที่มีอำนาจตัดสินใจเพียงคนเดียวของประเทศจีน"

ทางด้านสหรัฐฯ เอพีกล่าวในรายงานว่า อเมริกากำลังส่งสัญญาณว่ารัฐบาลกรุงวอชิงตันเป็นหุ้นส่วนที่ให้ความมั่นใจว่าสามารถพึ่งพาได้ทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจ

คามาลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่เป็นตัวเเทนร่วมเอเปคเเทนประธานาธิบดีโจไบเดนกล่าวที่การประชุมกับผู้นำภาคธุรกิจว่า "สหรัฐฯ อยู่ตรงนี้และจะไม่ไปไหน... ไม่มีหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจอื่นใด สำหรับภูมิภาคนี้ที่ดีไปกว่าสหรัฐฯ"

ที่การประชุมเอเปค สี ได้พบกับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ฟูมิโอะ คิชิดะ ในวันพฤหัสบดี เป็นเวลา 45 นาที และกล่าวว่า ทั้งสองประเทศควรเป็น "หุ้นส่วนกัน ไม่ใช่เป็นภัยคุกคาม" ของกันเเละกัน

ส่วนนายกฯ คิชิดะเปิดเผยว่าการพบกันกับสี จิ้นผิง เป็นการหารือที่ "จริงใจและมีรายละเอียด" และกล่าวถึง "ความกังวลอย่างยิ่ง" ต่อกิจกรรมของจีนในทะเลจีนตะวันออก ซึ่งรวมถึงบริเวณรอบ ๆ เกาะเซนกากุซึ่งเป็นพื้นที่พิพาทของทั้งสองฝ่าย

สำหรับความสัมพันธ์กับสิงคโปร์ สี จิ้นผิงได้พบกับนากยกฯ ลี เซียน ลุง เเละให้คำมั่นว่าจะทำงานร่วมกันทางเศรษฐกิจและ "บูรณาการของภูมิภาค"

ผู้นำจีนยังได้หารือทวิภาคกับประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ เฟอร์ดินาน มาร์กอส จูเนียร์ และได้กล่าวว่าจีนต้องการซื้อสินค้าอาหารและผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เพิ่มขึ้นจากฟิลิปปินส์ รวมถึงขยายความร่วมมือด้านการเกษตร พลังงานและระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน รวมถึงความสัมพันธ์ระดับประชาชนต่อประชาชน

ทูตจีน ชี้การเยือนไทยของ ‘สี จิ้นผิง’ หมุดหมายสำคัญในความสัมพันธ์จีน-ไทย

ด้าน หานจื้อเฉียง เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ระบุว่าการเดินทางเยือนไทยของประธานาธิบดีสี จิ้นผิงในฐานะประมุขแห่งรัฐของจีนเป็นครั้งแรก ถือเป็นหมุดหมายที่มีนัยสำคัญต่อการชี้นำและส่งเสริมการพัฒนาความสัมพันธ์ทวิภาคี โดยหานให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนของจีนและไทยเมื่อไม่นานนี้ว่าความสัมพันธ์จีน-ไทย มีโอกาสการพัฒนาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน พร้อมด้วยศักยภาพมหาศาลและความหวังมากมายภายใต้สภาพการณ์ใหม่ในประวัติศาสตร์

หานเชื่อว่า สี จิ้นผิงจะทำงานร่วมกับผู้นำไทยเพื่อกรุยทางและอัดฉีดแรงกระตุ้นสู่การพัฒนาความสัมพันธ์จีน-ไทยในระยะยาว ซึ่งทำให้การเยือนไทยของสี จิ้นผิงเป็นหมุดหมายใหม่ในประวัติศาสตร์ของความสัมพันธ์ทวิภาคี

และปีนี้นับเป็นวาระครบรอบ 47 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตจีน-ไทย และวาระครบรอบ 10 ปี การเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์รอบด้านจีน-ไทย โดยหานกล่าวว่าจีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุด ตลาดส่งออกสินค้าเกษตรขนาดใหญ่ที่สุด และแหล่งการลงทุนจากต่างประเทศที่สำคัญของไทย

ที่มา 

- VOAthai

- Xinhua