ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน โดยยังคงสวมหน้ากากอนามัย และขอสื่อฯ เว้นระยะห่าง เพราะเพิ่งเดินทางกลับจากประชุมสุดยอดอาเซียน ที่กรุงพนมเปญ ซึ่งล่าสุด สมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ติดโควิด-19
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สมเด็จฮุนเซนจะไม่เดินทางมาเป็นแขกของรัฐบาลในช่วงการประชุมเอเปค และจะไม่มีการส่งผู้แทนมา เพราะเป็นการเชิญระดับผู้นำ ขณะที่ตนเองก็ได้ตรวจโควิดเป็นประจำ และที่บ้านก็มีเจ้าหน้าที่ไปตรวจให้อยู่แล้ว วันไหนที่มีงานพิเศษ รวมถึงภารกิจที่ทำเนียบรัฐบาลก็มีการตรวจเสมอ และในวันที่เดินทางกลับจากกัมพูชาก็มีการตรวจ เมื่อคืนก็ตรวจอีก ซึ่งยังปกติอยู่
ส่วนในการประชุมเอเปค ก็มีมาตรการตรวจโควิด-19 ก่อนเข้าร่วมประชุมอยู่แล้ว รวมถึงคณะที่มาร่วมประชุมก็มีการตรวจกันเอง ซึ่งก็ต้องระมัดระวังที่สุด ทุกคนไม่มีใครอยากเป็น ช่วงนี้มีการเดินทางบ่อย ดังนั้นอยากเตือนให้ไปฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น เว้นระยะห่างในที่สาธารณะ ไม่อยากให้โควิดกลับมาระบาดอีก เพราะขณะนี้การท่องเที่ยวดี อะไรต่างๆ ดีขึ้น
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวด้วยว่าในการประชุม ครม.วันนี้ ไม่ได้กำชับอะไรกันเป็นพิเศษ เพราะที่ผ่านมามีการนำเสนอการเจรจาข้อตกลงต่างๆ ให้ ครม.เห็นชอบตามกฎหมาย รัฐธรรมนูญมาตรา 178 โดยมี 7-8 เรื่องที่จะต้องลงนามกับผู้นำที่มาร่วมประชุมเอเปค สังเกตได้ว่าการประชุม ครม.จะมีวาระจรเกี่ยวกับเรื่องพิจารณาเกี่ยวกับการประชุมเอเปคเข้ามา ซึ่งจะต้องมีการเจรจาเจ้าหน้าที่ระดับล่าง ก่อนจะนำเข้า ครม.ให้ความเห็นชอบก่อนเจรจาในระดับผู้นำต่อไป
ส่วนการพบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ เพราะมีการคุยในห้องประชุมอยู่แล้ว จะมีการหารือทวิภาคีหลายประเทศ ส่วนใหญ่เป็นหลักการเดียวกัน ทำอย่างไรจะลดผลกระทบเศรษฐกิจโลกปัจจุบันในหลายมิติและแสวงหาความร่วมมือร่วมกัน ตามสโลแกนการประชุม OPEN CONNECT BALANCE ซึ่งที่ผ่านมาก็พยายามทำแบบนี้มาตลอดทุกเวที ต้องสร้างความเชื่อมั่นและไว้วางใจกัน เอาประเด็นที่มีความต้องการร่วมกัน แบ่งปันกัน เพื่อประชาชนของเราโดยรวม
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า การประชุมเอเปคจะทำให้มีเงินหมุนเวียนภายในประเทศ เพราะมีคนเดินทางมาเป็นหมื่นคน จะทำให้ธุรกิจภาคบริการ ทั้งธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร มีรายได้เพิ่มขึ้น