Skip to main content

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ร่วมวงเสวนา “ตื่น ฟื้น ฝัน” จัดขึ้นโดยสำนักข่าวไทยรัฐ ซึ่งเชิญบุคคลจากทั้งวงการเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ร่วมแลกเปลี่ยนถึงความเป็นไปในอนาคตของประเทศไทย

พิธายืนยันว่าสังคมไทยตื่นรู้ขึ้นกว่าเดิมมาก มีฉันทามติร่วมกันอย่างเห็นได้ชัดในกลุ่มคนหลายชนชั้น ฐานประชากร และอายุ ที่ต้องการการเลือกตั้งครั้งใหม่ การเปลี่ยนแปลงกฎกติกาที่จะทำให้ประเทศไทยก้าวหน้าไปได้ มองเห็นความเชื่อมโยงกันระหว่างการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม เข้าใจในเรื่องของความเหลื่อมล้ำและการกระจายอำนาจ เชื่อว่ารัฐประหารไม่ใช่คำตอบ

ส่วนการให้คะแนนรัฐบาลนั้น พิธาระบุว่าขอให้คะแนนติดลบ ด้านแรก ในเรื่องของเศรษฐกิจ แม้ในไตรมาสล่าสุดจะโตขึ้นมา 2.5% เป็นอันดับ 6 ของอาเซียน แต่ก็ยังตามหลังเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย ที่โตสูงสุดกว่า 7% และยังมีปัญหาการฟื้นฟูหลังโควิดที่ไม่เท่าเทียมกัน จนนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำมากขึ้น ในด้านการเมือง 8 ปีที่ผ่านมา ดัชนีชี้วัดการทุจริตของไทยตกไป 8 อันดับ คะแนนความเป็นประชาธิปไตยก็ลดลงมาจนเกือบจะตกการจัดชั้นเป็นประเทศประชาธิปไตย ส่วนในด้านสังคม ประเทศไทยก็มีคนเสียชีวิตด้วยการทำร้ายตัวเอง ยาเสพติด สุราเรื้อรัง เพิ่มขึ้นถึง 34% เป็นอันดับ 1 ในประเทศอาเซียน

นอกจากนี้ พิธายังระบุว่าสำหรับอนาคตของประเทศไทย ตัวเองอยากเห็นการเติบโตที่ตอบโจทย์ความท้าทาย ทั้งในเรื่องเศรษฐกิจดิจิทัล การแปรรูปสินค้าการเกษตร การปฏิรูปการศึกษา และการลดความเหลื่อมล้ำ โดยเฉพาะในด้านรายได้ การถือครองทรัพย์สิน การเข้าถึงทรัพยากร และความเหลื่อมล้ำระหว่างพื้นที่ ซึ่งที่ผ่านมาการจัดสรรงบประมาณล้วนไม่ตอบโจทย์ดังกล่าว

ดังนั้น ในทางเป้าหมาย จะต้องมีการกระจายที่ดินที่ถือครองโดยรัฐอยู่ถึง 60% โดยต้องมีการลดลงให้ได้อย่างน้อยครึ่งหนึ่ง การกระจายภาคท่องเที่ยวไม่ให้กระจุกอยู่แค่ 5 จังหวัดหลัก แต่ต้องให้เมืองรองได้รับผลพวงจากการเติบโตด้วย อุตสาหกรรมที่ไม่พึ่งเพียงภาคยานยนต์และอิเล็กโทรนิกส์อย่างเดียวแต่มีอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่สามารถกระจายความมั่งคั่งออกไปได้ทั่วประเทศอย่างยั่งยืน และการกระจายทั้งอำนาจและงบประมาณออกไปสู่ทุกพื้นที่

“จะมีประโยชน์อะไรถ้าประเทศจะมีคนรวยบ้านรั้วสูงและเต็มไปด้วยปัญหาสังคม ผมอยากฝันเห็นประเทศไทยที่ก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน การเติบโตที่มาพร้อมกับความเท่าเทียม ทั้งในเรื่องของการเข้าสู่อำนาจทางการเมือง และเศรษฐกิจที่เติบโตควบคู่กับสวัสดิการไปด้วยกัน” พิธากล่าว