Skip to main content

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารระบบการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ (กภช.) ที่ห้องประชุมมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์

ที่ประชุมได้รับทราบแนวทางการถ่ายโอนศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ จากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม มาสังกัด กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ตั้งแต่ 15 ก.ย.59 ทั้งนี้ ศูนย์เตือนภัยจะปฏิบัติงานร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ ทั้งในภาวะปกติ ภาวะที่มีความเสี่ยง และภาวะที่มีการเกิดภัยพิบัติ พร้อมทั้งได้รับทราบความคืบหน้าระบบการเฝ้าระวังและช่องทางการแจ้งเตือน โดยมีการแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า เพื่อให้มีการรับมือและอพยพ ผ่านอุปกรณ์การเตือนภัยประกอบด้วย หอเตือนภัยจำนวน 338 หอ เครื่องรับสัญญาณดาวเทียม จำนวน 163 แห่ง ติดตั้ง ณ ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขตทั้ง18 เขต 70 จังหวัด และสถานีวิทยุกระจายเสียงประจำจังหวัด จำนวน 285 แห่ง รับข้อมูลผ่านสัญญาณดาวเทียมและกระจายการแจ้งเตือนด้วยระบบคลื่นวิทยุไปยังหอเตือนภัยขนาดเล็ก จำนวน 674 แห่ง และส่งถึงหอกระจายข่าวภายในชุมชน และหมู่บ้านต่อไป

จากนั้นที่ประชุมได้เห็นชอบ ร่างแผนยุทธศาสตร์การบริหารระบบการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ พ.ศ. 2566-2570 ภายใต้วิสัยทัศน์ “เป็นผู้นำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้านการบริหารการเตือนภัย ด้วยดิจิทัลแบบบูรณาการที่มีมาตรฐานสากล” ประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์หลัก และสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และเห็นชอบการดำเนินการแจ้งเตือนภัย โดยใช้ระบบ Cell Broadcast ด้วยการแจ้งเตือนภัยไปยังโทรศัพท์เคลื่อนที่ และสามารถระบุพื้นที่ที่จะทำการแจ้งเตือน ไปยังอุปกรณ์สื่อสารจำนวนมากในการส่งเพียงครั้งเดียว ทั้งนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการแจ้งเตือนภัยให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งการดำเนินการจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน อาทิ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ , กรมอุตุนิยมวิทยา , กรมชลประทาน , สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ หรือ สทนช. และผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ เป็นต้น

ขณะที่ พล.อ.ประวิตร ได้กำชับ กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รวมทั้งทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามแผนงาน จะต้องบูรณาการทำงานร่วมกันอย่างมีเอกภาพ เพื่อยกระดับการแจ้งเตือนสู่ระดับที่สูงขึ้น สามารถเพิ่มประสิทธิภาพและปฏิบัติงานได้จริง เพื่อลดความเสี่ยง ความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างมหาศาล จากภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว อาทิ น้ำท่วมฉับพลัน ไฟป่า แผ่นดินไหว หรือ สึนามิ เป็นต้น