มีรายงานว่า ช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา มหาเศรษฐีชั้นนำของโลก 500 คนรายได้ลดลงไปรวมๆ 1.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 49 ล้านล้านบาท นี่ยังไม่ถือว่าเลวร้ายที่สุด เพราะตลาดจะตกต่ำลงไปอีก
ในบรรดามหาเศรษฐีที่รวยลดลง เช่น อีลอน มัสก์ เจ้าของเทลลา มีเงินลดลง 62 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ประมาณ 221,000 ล้านบาท, ความมั่งคั่งของเจฟฟ์ เบซอส ก็ลดลง 63 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 224,000 ล้านบาท ขณะที่ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก หัวหน้าเมตา (Meta) มีทรัพย์สินลดลงไปกว่าครึ่ง
ทั้งนี้ บริษัท เทสลาอยู่ในช่วงขาลง แม้แต่ มัสก์ ยังยอมรับว่า เขาเพิ่งเตือนล่วงหน้าถึงการล้มละลายของบริษัทที่กำลังจะเกิดขึ้น หลังจากโรงงานใหม่สองแห่งของเขากำลังผลาญเงิน แม้ว่าโรงงานในเซี่ยงไฮ้จะปิดดำเนินการเนื่องจากการล็อกดาวน์จากโควิด แต่ทั้งนี้ อีลอน มัสก์ ที่กำลังจะเป็นเจ้าของทวิตเตอร์ในไม่ช้านี้ ก็ยังคงเป็นชายที่มั่งคั่งที่สุดในโลกด้วยทรัพย์สินมูลค่า 210 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (7,489,000 ล้านบาท) เกือบสองเท่าของเจฟฟ์ เบซอสที่ร่ำรวยที่สุดเป็นอันดับสองด้วยเงิน 133 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (4,743,000 ล้านบาท), โกตัม อดานิ อยู่ในอันดับที่ 6 ในรายชื่อมหาเศรษฐีของบลูมเบิร์ก มีความมั่งคั่ง 99.8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (3,559,000 ล้านบาท), ในขณะที่มูเกซ อัมบานี มีทรัพย์สินมูลค่า 86.3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (3,077,000 ล้านบาท) อยู่ในอันดับที่ 11, มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก อยู่ในอันดับที่ 17 ด้วยทรัพย์สิน 59.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (2,125,000 ล้านบาท), อาซิม เปรมจี มีทรัยพ์สิน 25.8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (1,016,000 ล้านบาท) อยู่ในอันดับที่ 47 ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนสูญเสียความมั่งคั่งเป็นล้านเหรียญในไตรมาสที่แล้ว
การคาดการณ์ต่อจากนี้คือ การเลิกจ้างเพิ่มเติมที่กำลังมา เนื่องจากไม่มีมหาเศรษฐีคนใดจะยอมจ่ายเงินจากของพวกเขาเพื่อช่วยเหลือพนักงานในอาณาจักรของพวกเขาเอง แม้แต่เทสลายังประกาศเลิกจ้างแล้ว ส่วนเมตา (Meta) ประกาศหยุดการจ้างงานเพิ่มเติม ส่วนบริษัทสตาร์ทอัพส่วนใหญ่ในอินเดียกำลังเลิกจ้างงานหรือลดเงินเดือนเช่นเดียวกับบริษัททั่วโลก