Skip to main content

 

มีงานวิจัยที่พบว่า พนักงานที่ภักดีต่อบริษัท มักจะถูกเจ้านายเลือกใช้ให้ทำงานหนักมากเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ รวมถึงต้องรับผิดชอบงานที่อยู่นอกเหนือจากภาระงานปรกติ โดยบริษัทไม่จ่ายค่าแรงเพิ่มให้

งานวิจัยเรื่อง พนักงานที่ภักดี เป้าที่ถูกเลือกเพื่อการเอาเปรียบ นำโดย ดร.แมทธิว สแตนลีย์ จากมหาวิทยาลัยดุ๊ก ร่วมกับนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแอริโซนา และมหาวิทยาลัยเวสต์เวอร์จิเนีย ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการชื่อ Experimental Social Psychology

“บริษัทต่างๆ ล้วนต้องการพนักงานที่มีความภักดี มีงานวิจัยมากมายที่แสดงให้เห็นว่า พนักงานที่ภักดีสร้างประโยชน์มากมายให้กับบริษัท แต่ดูเหมือนว่า คนที่อยู่ในตำแหน่งผู้จัดการมักจะหาวิธีใช้ประโยชน์จากความภักดีของพวกเขา” ดร.แมทธิว กล่าว

ในการศึกษา นักวิจัยรับสมัครคนที่อยู่ในตำแหน่งผู้จัดการราว 1,400 คนทางออนไลน์ โดยขอให้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับ “จอห์น” พนักงานสมมติวัย 29 ปี ซึ่งผู้จัดการทุกคนได้รับข้อมูลว่า บริษัทของจอห์นมีงบประมาณจำกัด และเพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายจะต้องตัดสินใจว่า “เต็มใจมากน้อยแค่ไหน” ที่จะสั่งให้จอห์น “เพิ่มชั่วโมงทำงาน” รวมถึง “ความรับผิดชอบเพิ่มเติม” โดยไม่ได้รับค่าจ้างเพิ่ม ขณะที่นักวิจัยจ่ายค่าตอบแทนให้ผู้จัดการที่เข้าร่วมการทดลองชั่วโมงละ 12 ดอลลาร์

ในการทดลอง ทีมวิจัยวางโครงเรื่องของจอห์นไว้หลากหลายสถานการณ์ และพบว่า หากสร้างภาพของจอห์นว่า “ภักดีต่อบริษัท” ผลลัพธ์ที่ออกมา ผู้จัดการมักเต็มใจที่จะขอให้จอห์นรับผิดชอบงานที่ไม่ได้ค่าจ้างมากขึ้นเสมอ

การทดลองพบว่า ผู้จัดการพร้อมที่จะ “เอาเปรียบ” จอห์นที่ “ภักดี” มากกว่าจอห์น “ที่ไม่ภักดี” หรือ จอห์นที่ “ซื่อสัตย์” หรือจอห์นที่มี “ความยุติธรรม” ทีมวิจัยทดลองให้ผู้จัดการกลุ่มหนึ่งอ่านจดหมายรับรองเกี่ยวกับจอห์น หากจดหมายนั้นยกย่องว่า จอห์นเป็นคนที่ภักดี ผู้จัดการจะเต็มใจมากขึ้นในการมอบหมายงานที่ไม่ได้ค่าตอบแทนให้กับเขา มากกว่ากรณีที่จดหมายระบุว่า จอห์น “ซื่อสัตย์” หรือ “รักความยุติธรรม”

เมื่อทีมวิจัยทดลองให้ภาพจอห์นว่า ยอมรับการทำงานล่วงเวลา และยอมรับการทำงานที่นอกเหนือจากภาระงานของตัวเอง พบว่า ผู้จัดการจะให้คะแนนความภักดีกับจอห์นผู้อุทิศตัวมากกว่าจอห์นที่ขึ้นชื่อว่า บ่ายเบี่ยงการทำงานล่วงเวลาและภาระงานที่เพิ่มขึ้น

การทดลองพบด้วยว่า ทั้ง “จอห์นผู้อุทิศตัว” และ “จอห์นผู้ปฏิเสธการทำงานเพิ่ม” ต่างถูกประเมินว่า มีความซื่อสัตย์และยุติธรรมในระดับที่พอๆ กัน ต่างจาก “ความภักดี” ซึ่งเปิดโอกาสให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบ

“มันคือวงจรอุบาทว์ที่ความภักดีถูกใช้เพื่อเอาเปรียบพนักงาน และยิ่งเมื่อได้รับการยกย่องว่า เป็นพนักงานที่ภักดี ก็จะยิ่งทำให้พวกเขาถูกเลือกให้โดนเอาเปรียบซ้ำมากขึ้นอีกในอนาคต” ดร.แมทธิวกล่าว

ทีมวิจัยพบว่า ผู้จัดการที่พุ่งเป้าไปที่พนักงานที่ภักดีเป็นเพราะเชื่อว่า ความภักดี มาพร้อมกับหน้าที่ในการเสียสละเพื่อบริษัท ทั้งนี้ อาจไม่ได้เกิดจากเจตนาร้าย แต่เป็นเพราะ “ความไม่รู้” หรือ "ความมืดบอดทางด้านจริยธรรม"

“คนส่วนใหญ่อยากจะเป็นคนดี แต่พวกเขากลับทำผิดบ่อยๆ ในชีวิตประจำวัน ส่วนใหญ่เป็นเพราะความไม่รู้ หรือมืดบอดทางจริยธรรม เมื่อพวกเขาไม่เห็นว่าสิ่งที่ทำนั้นขัดกับหลักการหรือคุณค่าที่พวกเขามักอ้างถึง” ดร.แมทธิวกล่าว

อย่างไรก็ดี นักวิจัยเตือนว่า ไม่ได้หมายความว่า ไม่จำเป็นต้องมีความภักดี หรือควรเลิกรับผิดชอบต่อการทำงาน หรือพยายามหลีกเลี่ยงการทำงานล่วงเวลาที่ไม่ได้ค่าตอบแทน เพราะนี่เป็นเพียงผลข้างเคียงด้านลบของคุณธรรมที่ดี ซึ่งนักวิจัยพบว่า เกิดขึ้นกับคุณลักษณะด้านบวกอื่นๆ ด้วย อย่างเช่น ความเอื้อเฟื้อต่อคนอื่น

ดร.แมทธิวกล่าวว่า งานวิจัยนี้ไม่ได้ต้องการให้สรุปว่า ไม่จำเป็นต้องมีความภักดีกับใครเลย เพราะจะนำไปสู่หายนะ เรายังคงต้องให้คุณค่ากับคนที่ภักดี ซึ่งไม่ได้มีแต่ด้านลบเพียงอย่างเดียว เพราะสุดท้ายแล้วพวกเขามักจะได้รับผลตอบแทนที่ดีเสมอ


ที่มา
Managers Exploit Loyal Workers Over Less Committed Colleagues
Loyal Workers Are More Likely to Be Exploited, And This Is Why