สังคมเราเป็นสังคมที่รู้สึกว่า ความสำเร็จของชีวิตสะท้อนมาที่ขนาดของบ้าน คนบ้านใหญ่ คือ คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตและร่ำรวย แต่หารู้ไม่ว่า หลายคนที่มีบ้านใหญ่ๆ คือ กู้เงินมาผ่อนยันเกษียณ เงินเก็บแทบไม่มี ซึ่งอะไรพวกนี้ในทางการเงินคือหายนะแน่ๆ
เราเลยอยากเล่าเรื่องคุณแม่ชาวอเมริกันที่ย้ายบ้านมาหลายครั้ง จากบ้านขนาด 3 ห้องนอน จนสุดท้ายพบความลงตัวในชีวิตที่บ้านขนาดเล็กไม่ถึง 60 ตารางเมตร
เธอเล่าว่า ตอนเธออายุน้อยๆ พ่อของเธอเสียชีวิต เธอได้มรดกมาเพียบ เลยซื้อบ้านขนาดพื้นที่ใช้สอย 220 ตารางเมตรที่มี 3 ห้องนอน ประเด็นคือ เธออยู่คนเดียว เลยปล่อยห้องนอนให้พวกนักศึกษาเช่าอยู่ อย่างไรก็ดี พื้นที่ส่วนกลางของบ้านกลายมาเป็นเหมือนพื้นที่เก็บของของพ่อแม่เธอในยุคที่เธอโตมาซึ่งตกค้างเอาไว้ ไม่ได้จัดการ เรียกได้ว่า มีตั้งแต่โซฟาเก่ายันชุดถ้วยชาม ทั้งหมดก็ค้างอยู่ในกล่องแบบที่ย้ายมาจากบ้านเก่า กองค้างไว้แบบนั้น
ตอนอายุ 25 ปี เธอย้ายไปทำงานที่อื่นและตัดสินใจขายบ้านทิ้ง และทิ้งของไปจนหมด เธอสัญญากับตัวเองว่า จะไม่อยู่บ้านใหญ่ๆ ให้มันกลายเป็นที่เก็บของที่ไม่ได้ใช้อีกแล้ว
ตัดภาพมา 12 ปีต่อมา เธอในวัย 37 ปีกลายเป็นคุณแม่ที่อยู่กับสามีและลูกสาว 1 คน และตัดสินใจซื้อบ้านอีกครั้ง คราวนี้บ้านหลังใหญ่กว่าเดิม พื้นที่ใช้สอย 270 ตารางเมตร ซึ่งเธอมองว่า เธอต้องการพื้นที่ให้ครอบครัว เลยเลือก "บ้านหลังใหญ่ที่สุด" เท่าที่งบจะซื้อได้
ผลก็คือ อยู่ๆ ไปพื้นที่ส่วนใหญ่ของบ้าน กลายเป็นพื้นที่เก็บของเล่นลูกที่ลูกไม่เล่นแล้วตอนโต และก็เก็บพวกของประดับคริสต์มาสต์ที่สะสมมาเรื่อยๆ ทุกปี และถึงจุดหนึ่ง บ้านหลังใหม่โล่งๆ ของเธอ ก็เต็มไปด้วยข้าวของกองพะเนินในที่สุด และนี่เองที่เธอเริ่มตระหนักว่า การสะสมของมันเป็นไปตามขนาดบ้าน สุดท้ายถ้าบ้านโล่ง คนในบ้านจะซื้อของมาเติมเสมอ หรืออย่างน้อยก็คือจะไม่ทิ้งของ
อย่างไรก็ดี หลังจากเธอหย่ากับสามีตอนอายุ 39 ปี เธอก็ย้ายมาอยู่บ้านขนาดเล็กเพียง 83 ตารางเมตร กับลูกสาว โดยครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่เธอทิ้งของจำนวนมากที่เต็มไปด้วยความทรงจำของชีวิตแต่งงานและวัยเด็กของลูก แต่ผลรวมๆ ก็คือ เธอพยายามขนของจากบ้านเก่ามาให้เยอะที่สุดอยู่ และมันก็ทำให้แต่ละวันของเธอในบ้านที่เล็กลง เป็นการย้ายของไปมา จัดของเก่าๆ รำลึกวันเก่าๆ แต่ก็ไม่ได้นำไปสู่อะไร
สุดท้าย ความเปลี่ยนแปลงในชีวิตก็เกิดอีก เธอย้ายบ้านอีกรอบ คราวนี้เพื่อมาอยู่ที่ฮาวาย ใกล้ครอบครัวฝั่งแม่ของเธอ ซึ่งฮาวายเป็นรัฐที่ราคาบ้านแพงจัดๆ อยู่แล้ว คราวนี้บ้านของเธอเล็กลงมีพื้นที่เหลือแค่ 56 ตารางเมตร
แน่นอน พอต้องย้ายไปไกลไปอยู่ในบ้านที่พื้นที่ใช้สอยลดลง มันบีบให้เธอ "ทิ้งของ" อีกรอบ คราวนี้เธอตัดใจแบบให้เหลือของที่จำเป็นจริงๆ พวกของที่เป็นความทรงจำช่วงแต่งงานที่ไม่มีประโยชน์ก็ทิ้งจนหมด
พอเธอย้ายมาอยู่ในบ้านเล็กๆ ขนาด 56 ตารางเมตร ในวัย 40 เศษ แน่นอน ตอนแรกๆ เธอก็เหมือนทุกคนที่รู้สึกว่าบ้านที่เล็กลง เป็นภาพสะท้อนของชีวิตที่ตกต่ำลง แต่เธอก็พบความจริงบางอย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาตลอดชีวิต
บ้านขนาดเล็ก เวลาที่ใช้ทำความสะอาดบ้านน้อย เทียบกับบ้านใหญ่ที่เธอเคยอยู่ ทำความสะอาดเล็กก็ใช้เวลาไป 2-3 ชั่วโมง ถ้าทำความสะอาดใหญ่ก็ 1 วันเต็ม แต่เธอสามารถทำความสะอาดที่อยู่เล็กๆ ของเธอได้ภายใน 15 นาทีสบายๆ และถ้าทำความสะอาดจริงจัง 1 ชั่วโมงก็เสร็จ
พอมีเวลามากขึ้น เธอก็มีเวลาให้กับลูกสาวมากขึ้น และนั่นคือสิ่งที่มีคุณค่ากับชีวิตมากกว่าการต้องวนเวียนจัดของเก่าเก็บที่ไม่มีประโยชน์ใช้สอยกับใครทั้งนั้น
พื้นที่ 56 ตารางเมตร สำหรับซิงเกิลมัมที่อยู่กัน 2 คนกับลูกสาว มันพอดีอย่างเหลือเชื่อ แม่มีห้องส่วนตัว ลูกสาวมีห้องส่วนตัว อยู่ 2 คนใช้ห้องน้ำห้องเดียวก็พอ ใช้เวลาทำความสะอาดน้อย มีเวลาให้ครอบครัวเยอะขึ้น และนี่คือสิ่งที่ทำให้เธอมองย้อนไปแล้วเห็นเลยว่า ทั้งชีวิตเธอเสียเวลาไปกับการทำความสะอาดบ้านใหญ่ๆ และจัดระเบียบของจำนวนมากที่ไม่ใช้ อย่างไร้จุดหมายอย่างมากมายจนประเมินไม่ได้
นี่คือสิ่งที่ซิงเกิลมัมวัย 40 กว่าค้นพบ หลังจากย้ายที่อยู่อาศัยมาตลอดชีวิตไม่ต่ำกว่า 5 รอบ
บทเรียนจากเรื่องนี้ก็คือ บ้านใหญ่ๆ ที่มีพื้นที่ใช้สอยเกิน จะทำให้สิ่งของที่ไม่มีความจำเป็นค่อยๆ สะสมมาเสมอ และคนส่วนใหญ่ถ้าไม่มีเหตุการณ์ในชีวิต ของพวกนี้ก็อาจสะสมพอกพูนกันยาวไปถึงรุ่นลูก แต่จุดเปลี่ยนชีวิตอาจทำให้หลายๆ คนต้องคัดเลือกของที่เก็บเอาไว้ และเหลือแต่ของที่จำเป็นและมีความหมายจริงๆ เท่านั้น ซึ่งพอทำไปหลายๆ ครั้ง เราก็จะเริ่มเห็นเองว่าจริงๆ แล้วชีวิตเราไม่ได้ต้องการอะไรขนาดนั้น
ที่สำคัญที่สุด สำหรับคนที่ทำความสะอาดและดูแลบ้านเอง การมีบ้านขนาดไม่ใหญ่โตเกินไปคือสิ่งที่ทำให้เราประหยัดเวลาไปมหาศาล และเวลาเหล่านั้น เราเอาไปใช้กับคนที่เรารักได้ ใช้กับกิจกรรมที่เราสนใจก็ได้ หรือใช้ทำงานเก็บเงินให้เกษียณเร็วขึ้นก็ยังได้
ถ้ากล่าวแบบจริงจัง การมีบ้านที่ใหญ่เกินประโยชน์ใช้สอยนั้น ด้านหนึ่งอาจมีคนบอกว่าใช้แสดงฐานะหรือเก็บไว้เป็นสินทรัพย์ได้ แต่อีกด้าน ทุกพื้นที่ที่ใหญ่ขึ้นมา นอกจากจะเป็นภาระของคนทำความสะอาด หรือเป็นที่ยั่วยวนให้ซื้อของมาเติมให้มันเต็มแล้ว ขนาดที่ใหญ่ขึ้นของบ้านในอเมริกามัน หมายถึงภาษีบ้านและที่ดินที่เพิ่มขึ้นตามราคาประเมิน รวมถึงค่าประกันภัยที่จะเพิ่มขึ้นตามสัดส่วนด้วยเช่นกัน และนั่นก็ยังไม่รวมถึงพวกค่าบำรุงรักษาต่างๆ ที่แปรผันตามขนาดบ้าน
ทั้งหมดนี้ จะแบ่งเบาลงหมด ถ้าขนาดที่อยู่อาศัยของเราเล็กลง ซึ่งจะเล็กลงแค่ไหน อาจต้องกลับไปถามตัวเราเองและครอบครัวว่า ต้องการพื้นที่ใช้สอยจริงๆ แค่ไหน เพราะสุดท้าย ถ้าไปถามลอยๆ ทุกคนอาจจะอยากอยู่บ้านใหญ่ๆ แต่ถ้าต้องทำความสะอาดเอง ต้องเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเอง เราก็อาจให้คุณค่ากับการมีขนาดบ้านที่ "พอดี" กับการใช้สอยมากขึ้น
อ้างอิง
I downsized 3 times before finding the perfect space. Turns out, 600 square feet is all I need.