Skip to main content

 

Libertus Machinus
 

 

ไม่นานมานี้ มีการแชร์โพสต์ที่มีเนื้อความว่า Robert Kiyosaki ผู้เขียนหนังสือ Rich Dad, Poor Dad เป็นคนล้มละลายที่มีหนี้กว่าพันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเจตนาก็ค่อนข้างชัดว่า ตั้งใจจะเป็นการดิสเครดิต "นักเขียนชื่อดัง" คนนี้ ซึ่งแน่นอนคนไทยเวลาเห็นคำว่า "ล้มละลาย" และ "หนี้" ก็มองว่าไม่ดี

อย่างไรก็ดี ความเข้าใจแบบนี้ คือ การเข้าใจที่ผิดมากๆ เพราะปัจจุบัน Robert Kiyosaki มีความมั่งคั่งสุทธิราวๆ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ คือ เค้าไม่ใช่ "คนรวย" ระดับมหาเศรษฐีแน่ๆ แต่ก็ไม่ใช่คนจน  และทุกวันนี้ เค้าก็ยังทำตามที่สอนในหนังสือ Rich Dad, Poor Dad อยู่ ซึ่งหลายคนอาจเคยอ่านมานานจนจำไม่ได้แล้ว

เราอยากจะกลับไปทำความเข้าใจหนังสือนี้ในบริบทเศรษฐกิจการเมือง เพื่อเข้าใจว่าจริงๆ มันส่งผลลึกมากๆ ในระดับที่คนจำนวนมากก็อาจทำตามหนังสือเล่มนี้แบบไม่รู้ตัว


คนไทยก็ทำ กู้เงินซื้อบ้าน-ปล่อยเช่า เอาค่าเช่ามาจ่ายดอกเบี้ย

 

Rich Dad, Poor Dad น่าจะเป็นหนังสือการเงินเล่มแรกที่หลายคนได้อ่าน เพราะหลังจากที่มันออกมาในปี 1994 ก็ดังมากๆ ซึ่งหลายคนก็อาจเห็นไอเดียว่า ต้องมีสิ่งที่เรียกว่า Passive Income เป็นครั้งแรกในหนังสือเล่มนี้

เอาเข้าจริงๆ ไอเดียเรื่อง Passive Income เป็นไอเดียปกติของนักลงทุน เป็นเรื่องปกติที่คนไม่พูดกันด้วยซ้ำ นี่จึงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่สิ่งที่ "เฉพาะตัว" ของ Robert Kiyosaki ที่เริ่มมาตั้งแต่หนังสือเล่มนี้ก็คือ เค้าสอนให้คน "กู้เงินมาลงทุน" และนี่ก็เป็นสิ่งที่เค้าสอนมาถึงทุกวันนี้ ในปี 2024 ที่เค้าพูดอย่างภาคภูมิว่า มีหนี้ในมือหลักพันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งสิ่งที่เค้าละไว้ในฐานที่เข้าใจก็คือ หนี้ก้อนนี้ เค้ากู้มาลงทุนและผลตอบแทนก็คุ้มค่า เค้ามีเงินจ่ายดอกเบี้ยไปพร้อมๆ กับมีสินทรัพย์สุทธิมากขึ้น

ต้องเข้าใจก่อนว่า ปกตินักลงทุนในอดีตจะไม่มีใครแนะนำให้คนกู้เงินมาลงทุน พวกที่ปรึกษาทางการเงินก็จะไม่แนะนำแบบนี้ แต่สิ่งที่ปรากฏในหนังสือ Rich Dad, Poor Dad คือ Kiyosaki พยายามจะเสนอว่า จริงๆ ที่คนรวยมันรวยขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะพวกนี้กู้เงินมาลงทุนให้มันงอกเงยไปเรื่อยๆ และตราบที่ผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ย มันก็ทำให้เงินกู้ก้อนนั้นสร้างรายได้

ถ้าพูดแค่นี้ มันก็ดูเป็นนามธรรมและห่างไกลจากชีวิตคนทั่วไป แต่สิ่งที่ Kiyosaki สอนให้ "คนทั่วไป" ทำ คือการ "กู้เงินมาซื้อบ้าน" โดยเทคนิคนี้มีคำเรียกเลยว่า Kiyosaki Method หรือ BRRRR ซึ่งย่อมาจาก Buy, Rehab, Rent, Refinance, Repeat

ถามว่ามันคืออะไร มันคือไอเดียว่า คุณมีเงินจ่ายเงินดาวน์ คุณก็กู้เงินจากธนาคารไปซื้อบ้าน เอามาตกแต่งให้คนเช่า ปล่อยเช่าเพื่อเอาค่าเช่าไปจ่ายดอกเบี้ยที่เหลือเป็นกำไร คอยรีไฟแนนซ์ให้ได้ดอกเบี้ยต่ำที่สุด สะสมเงินแล้วก็ดาวน์บ้านหลังต่อไป ทำไปเรื่อยๆ คุณจะรวยในที่สุด

ถ้ารู้สึกว่าคุ้นๆ นี่คือสิ่งที่ชนชั้นกลางไทยทำกันเยอะมากในช่วง 20 กว่าปีที่ผ่านมา คอนโดเจ้าดังขึ้นโครงการใหม่คนซื้อเรียบตั้งแต่เปิดโครงการ แล้วก็ปล่อยห้องให้เช่ากันเพื่อเอามาจ่ายดอกเบี้ย และก็ทำวนไปเรื่อยๆ

ใช่แล้วครับ ถ้าใครเคยทำแบบนี้ คุณกำลังทำตามหนังสือ Rich Dad, Poor Dad อยู่ ไม่ว่าคุณจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม

ประเด็นคือ นี่ไม่ใช่เทคนิคการลงทุนตามปกติ เพราะโลกการลงทุนปกติคือ คนจะลงทุนอยู่ในตลาดหุ้นเป็นหลัก ส่วนตัว Kiyosaki ไม่แนะนำให้ซื้อหุ้นเลย ดังนั้น ก็ไม่แปลกที่นักลงทุนแบบปกติจะไม่ชอบ Kiyosaki เท่าไรโดยพื้นฐาน และยิ่ง Kiyosaki ไปสอนคนแบบประหลาดๆ ด้วยการให้ "กู้เงินมาลงทุน" ก็แน่นอนว่าจะทำให้ยิ่งไม่ชอบเข้าไปอีก

แต่ถ้าเข้าใจประเด็นนี้ก็จะเข้าใจการ "ล้มละลาย" ของ Kiyosaki

 

ทุกการลงทุน มีความเสี่ยง

 

หลังจากหนังสือ Rich Dad, Poor Dad ออก ทาง Kiyosaki ก็ได้ตั้งบริษัทชื่อ Rich Global ขายแบรนด์ จัดสัมนาอะไรมากมาย ซึ่งบางคนก็จะบอกว่า "รวยเพราะขายคอร์ส" แต่ความเป็นจริงมันซับซ้อนกว่านั้น เพราะจริงๆ ที่มาของเงินของ Kiyosaki เป็นตามที่เค้าสอน คือเค้ากู้เงินมาลงทุนโน่นนี่และยิ่งทุนก้อนใหญ่ ผลตอบแทนก็ยิ่งมาก

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในทุกการลงทุนก็คือ มันมี "ความเสี่ยง" และถ้ากู้เงินมาเยอะๆ แต่ผลตอบแทนการลงทุนไม่ดีตามคาด และไม่พอจ่ายดอกเบี้ย ผลรวมๆ ก็คือเจ๊ง เจ้าหนี้ก็ตามทวงหนี้

นี่คือที่มาของการล้มละลายของบริษัท  Rich Global ในตอนนั้น เจ้าหนี้ต้องการทวงหนี้ประมาณ 20 ล้านเหรียญสหรัฐ ศาลสั่งให้จ่ายแล้ว Robert Kiyosaki เลือกที่จะไม่เอาเงินตัวเองมาจ่ายหนี้ และยื่นให้บริษัทล้มละลายแทน เพื่อให้หนี้ไม่ตกมาถึงตัวเค้า

กล่าวคือ เค้า "ฉลาด" มากในการ "ล้างหนี้" คือตั้งบริษัทมา กู้เงินมาลงทุน ถ้าบริษัทไม่กำไรและเป็นหนี้ถึงจุด ก็ "ยื่นล้มละลาย" เลยเพื่อให้ไม่ต้องจ่ายหนี้ พูดง่ายๆ ก็คือ Kiyosaki จะเอากำไรถ้าบริษัททำได้ แต่ถ้าบริษัทเจ๊ง เค้าจะไม่ยอมเจ๊งด้วย และล้มกระดานด้วยการยื่นล้มละลาย
    
ไม่ต้องแปลกใจว่าเค้ามีบริษัทในมืออีกเยอะแยะที่กำลังทำแบบเดียวกัน และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมตัว Robert Kiyosaki ถึงบอกว่า เค้าเป็นหนี้กว่าพันล้านเหรียญสหรัฐ คือ เค้ามีหนี้จริงๆ แต่เป็นหนี้ผ่านบริษัท ซึ่งถ้าสถานการณ์ไม่ดี เค้าก็จะยื่นล้มละลายเลย แบบที่ทำกับบริษัท Rich Global มาแล้ว และนี่เป็นเหตุผลที่เค้าบอกว่าเค้า "ไม่กลัวเจ๊ง" เค้ากู้เงินมาลงทุนก็จริง แต่เค้าก็วางแผนอย่างแยบยลแล้วว่า ถ้าการลงทุนเกิดขาดทุน เค้าจะไม่ต้องแบกรับการขาดทุน

ทั้งหมดเป็นวิธีการที่ "เจ้าเล่ห์" มาก แน่นอนว่า นักลงทุนจำนวนมากก็ไม่ชอบวิธีการแบบนี้ แต่การที่คนไทยจำนวนมากทำตาม Rich Dad, Poor Dad นั้นก็มีเหตุผลอยู่


ดอกเบี้ยแพง กู้เงินซื้อบ้าน-ปล่อยเช่าไม่เวิร์กอีกแล้ว

 

หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นในบริบทเศรษฐกิจมหภาคที่ดอกเบี้ยเป็นขาลง พอดอกเบี้ยลดลง "ต้นทุนการเป็นหนี้" ก็ต่ำลง และสำหรับคนทั่วไป การ "กู้เงินมาลงทุน" เพียงอย่างเดียวที่ธนาการจะให้กู้ก็คือ การกู้เงินซื้อบ้านแล้วปล่อยเช่า

นี่เป็นเหตุผลให้ในทศวรรษ 2000 ซึ่งเป็นทศวรรษที่อัตราดอกเบี้ยในโลกต่ำมากๆ หนังสือเล่มนี้และไอเดียจากหนังสือเล่มนี้เลยแพร่กระจายไปทั่ว และในอเมริกา บางคนก็บอกว่าไอเดียการให้คนกู้เงินมาซื้อบ้านเพื่อลงทุนสไตล์ Rich Dad, Poor Dad คือ ต้นตอของวิกฤติเศรษฐกิจโลกในปี 2008 ที่ชนวนมันคือ "หนี้อสังหา" ด้วยซ้ำ

ทุกวันนี้ แม้ว่าการลงทุนแบบในหนังสือเล่มนี้จะไม่ฮิตแล้ว แต่คนอย่าง Robert Kiyosaki ก็กลายมาเป็นผู้สนับสนุนการซื้อทองคำ แร่เงิน ไปจนถึง Bitcoin แทน โดยเค้าก็ไม่ใช่คนที่โดดเด่นเท่าไร และที่สำคัญก็คือสินทรัพย์พวกนี้ธนาคารก็ไม่มีทางจะให้กู้เงินมาซื้อเหมือนบ้านแน่ๆ และก็ไม่แปลกที่อิทธิพลของ Kiyosaki ในโลกการเงินการลงทุนก็ลดไปจนแทบไม่เหลือในปัจจุบัน

 


อ้างอิง
‘Rich Dad, Poor Dad’ author Robert Kiyosaki reveals he’s $1 billion in debt—but says going bust would ‘not be his problem’
'Rich Dad, Poor Dad' author files for bankruptcy
How to Invest in Real Estate with the BRRRR Method in 2024?
Robert Kiyosaki Says Good Debt Makes You Richer — Here’s How
 

อ่านบทความอื่นๆ ของผู้เขียน