หนึ่งในแนวคิดเรื่องความเติบโตทางด้านเศรษฐกิจที่มีการพูดถึงบ่อยครั้งในปัจจุบัน คือ แนวคิดเรื่อง “เศรษฐกิจนวัตกรรม” หรือ “เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม” (Innovation driven Economy) ที่ต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในด้านมุมมอง วิธีคิด รวมถึงความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ตลอดจนการปรับเปลี่ยนนโยบาย โครงสร้างและระบบนิเวศทางเศรษฐกิจ เพื่อให้สอดรับกับการเติบโตของเศรษฐกิจบนฐานนวัตกรรมในอนาคต
ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ประธาน บริษัท แคนวาส เวนเจอร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งคร่ำหวอดอยู่ในแวดวงเทคโนโลยี นวัตกรรม และสตาร์ทอัพมานานปี รวมถึงเคยดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) 2 สมัย มองว่า "นวัตกรรม" จะเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่จะผลักดันเศรฐกิจไทยให้เติบโตอีกครั้ง และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก
'เศรษฐศาสตร์นวัตกรรม' การทำลายล้างที่สร้างสรรค์
จริงๆ แล้ว แนวคิดเรื่อง “เศรษฐกิจนวัตกรรม” ไม่ใช่เรื่องใหม่ มีผู้นำเสนอเอาไว้ตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1930 และถูกนำมาพูดถึงอีกครั้งในปี 2025 จากการที่รางวัลโนเบลด้านเศรษฐศาสตร์พูดถึงบริบทของเศรษฐศาสตร์ ที่มี “นวัตกรรมเป็นศูนย์กลาง”
ผู้ที่ถือว่าเป็น “บิดาแห่งเศรษฐศาสตร์นวัตกรรม” ก็คือ ศาสตราจารย์ Joseph Schumpeter นักเศรษฐศาสตร์ชาวออสเตรีย และอดีตรัฐมนตรีกระทรวงการคลังของออสเตรียเมื่อปี 1919 ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาอพยพไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกา และสอนหนังสืออยู่ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
รางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ปี 2025 มีนักเศรษฐศาสตร์ที่ได้รับรางวัล 3 คน ได้แก่ ศาสตราจารย์ Joel Mokyr จากมหาวิทยาลัยนอร์ทอีสเทิร์น ในสหรัฐอเมริกา ทำวิจัยเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของยุโรป และสนใจศึกษาเศรษฐศาสตร์ช่วงปี 1750 ถึง 1914 ซึ่งเป็นรอยต่อการเปลี่ยนแปลงช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรม
นักเศรษฐศาสตร์อีกสองท่าน คือ ศาสตราจารย์ Philippe Aghion เป็นอาจารย์อยู่ที่ The London School of Economics (LSE) ศึกษาวิจัยเรื่องทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเติบโต และคนสุดท้าย คือ ศาสตราจารย์ Peter Howitt เป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยบราวน์ ในสหรัฐอเมริกา ทำวิจัยเรื่องเศรษฐศาสตร์มหภาค และเศรษฐศาสตร์การเงิน
ดร.พันธุ์อาจ บอกว่า รางวัลโนเบลด้านเศรษฐศาสตร์ประจำปีนี้ หลักๆ พูดถึง คำว่า “Creative Destruction” หรือแปลได้ว่า “การทำลายล้างที่สร้างสรรค์” ซึ่งอยู่ในบทความของ Joseph Schumpeter มาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1930 ในหนังสือวิชาการเล่มนั้น พูดถึงการที่ “นวัตกรรม” เป็นเครื่องมือของ “ผู้ประกอบการ” ใน “การทำลายล้างที่สร้างสรรค์”
ดร.พันธุ์อาจยกตัวอย่าง อาชีพในตำแหน่ง “พนักงานพิมพ์ดีด” ที่หายไปจากการที่มีเทคโนโลยี word processor เข้ามา แม้ตำแหน่งงานจะหายไป แต่ทว่างานใหม่ก็ยังคงต้องการทักษะการพิมพ์แบบสัมผัสของคนที่ใช้พิมพ์ดีดอยู่ดี เช่นเดียวกับปัจจุบันที่มีการพูดถึง “เอไอ” จะมาแทนที่ตำแหน่งงานต่างๆ ดร.พันธุ์อาจมองว่า สิ่งนี้ไม่ต่างไปจากนิยามที่ Joseph Schumpeter เคยกล่าวไว้ในบริบทของ creative destruction

ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ประธาน บริษัท แคนวาส เวนเจอร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล (ภาพ: The Opener)
“นวัตกรรม” คืออะไร?
เมื่อพูดถึง “นวัตกรรม” มักถูกมองว่า เป็นเรื่องของการวิจัยและพัฒนา การทำงานวิจัยในห้องแล็ป หรือการสร้างสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ แต่ ดร.พันธุ์อาจ อธิบายว่า จริงๆ แล้ว นวัตกรรมเป็นได้มากกว่านั้น เป็นการเปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนมุมมองใหม่ หรือความสามารถในการปรับกระบวนการใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้สูงขึ้น
ดร.พันธุ์อาจบอกว่า บางทีนวัตกรรมก็ไม่ใช่สิ่งประดิษฐ์ ในทางสังคม ในทางการเมืองก็มีนวัตกรรมเช่นกัน นวัตกรรมจึงแทรกไปในทุกๆ สาขา ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจหรือภาคสังคม “โมเดลธุรกิจ” ก็ถือว่าเป็นนวัตกรรมอย่างหนึ่ง
ดร.พันธุ์อาจกล่าวว่า ประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจขับเคลื่อนโดยนวัตกรรม เป็นประเทศที่มีทั้งนวัตกร มีผู้ประกอบการ มีคนที่กล้าเปลี่ยนแปลง มีคนที่กล้ายอมรับความเสี่ยงสูงเพื่อนำไปสู่การเติบโต อาจนิยาม เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม ก็คือ เศรษฐกิจที่มีคนซึ่งพร้อมจะเปลี่ยนแปลง แม้จะยังมองไม่เห็นว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่ แต่กล้าริเริ่มทำสิ่งเหล่านั้น
ดร.พันธุ์อาจบอกว่า ยิ่งเราทำนวัตกรรมเยอะๆ การที่สังคมไทยจะมุ่งเข้าสู่เศรษฐกิจนวัตกรรม ก็จะยิ่งเป็นรูปเป็นร่างและจับต้องได้มากขึ้น
จุดแข็ง และจุดอ่อน ระบบนิเวศนวัตกรรมไทย
ระบบนิเวศทางด้านนวัตกรรมเป็นสิ่งที่สำคัญ ซึ่งหมายถึง คนที่เข้ามาทำงานร่วมกันในกระบวนการทางนวัตกรรม ตั้งแต่ผู้ประกอบการ หน่วยงานราชการ ผู้ที่จัดทำนโยบาย ธนาคาร นักลงทุน รวมถึงตลาดด้วย
ดร.พันธุ์อาจบอกว่า หากดูการจัดอันดับดัชนีนวัตกรรมโลก (Global Innovation Index) ระบบนิเวศด้านนวัตกรรมของไทยยังอยู่ในสภาพที่ทรงๆ เหมือนกับสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศที่เติบโตช้า และมีอัตราการเติบโตต่ำ
แต่ระบบนิเวศที่เป็นจุดเด่นของไทย คือ การที่ภาคเอกชนลงทุนกับการสร้างนวัตกรรมมากกว่าหน่วยงานของรัฐ แม้อันดับของไทยจะเริ่มลดลงจาก 40 ต้นๆ มาอยู่ที่ 40 กลางๆ ในปีนี้ แต่สิ่งที่ประเทศไทยยังคงเป็นอันดับหนึ่งของโลก คือ สัดส่วนการลงทุนระหว่างภาคเอกชนกับรัฐในการทำนวัตกรรม ดร.พันธุ์อาจระบุว่า เงินลงทุนด้านนวัตกรรม 100 บาท เฉลี่ยแล้วภาคเอกชนไทยลงทุนไปราว 80 บาท อีก 20 บาทเป็นเงินลงทุนจากภาครัฐ แต่โดยรวมแล้วผลลัพธ์ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ
“ผมเคยเปรียบเทียบกับอิสราเอล เงินลงทุนลงไปแล้วบริษัทโต เขาสามารถแทรกซึมเข้าไปสู่กระบวนพัฒนาให้ธุรกิจของเขาขายของที่เป็นนวัตกรรมได้ ส่วนของเราเมื่อทำไปแล้ว การเติบโตไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่ ไม่สามารถนำเอางานวิจัย หรือนวัตกรรมไปขายของได้ แล้วคนยอมรับ หมายความว่า อินพุทที่ใส่เข้าไปไม่สามารถทำให้เอาท์พุทออกมา ประสิทธิภาพในการทำให้เกิดรายได้ commercialization ยังจำกัดอยู่ นี่คือระบบนิเวศของประเทศไทยขณะนี้” ดร.พันธุ์อาจกล่าว