จักรวาลของการปลูกถ่ายอวัยวะนั้นกว้างใหญ่มาก อวัยวะของมนุษย์สามารถทำการปลูกถ่ายกันได้หลากหลายมายาวนาน และจริงๆ แม้แต่อวัยวะเพศก็เป็นสิ่งที่สามารถถูกปลูกถ่ายและใช้งานได้นานมาแล้วด้วย เพราะข่าว "มนุษย์คนแรกที่ได้รับการปลูกถ่ายองคชาติ มีลูกชายแล้ว" ก็เป็นข่าวเก่ามาตั้งแต่ปี 2015 ด้วยซ้ำ โดยขีดจำกัดในทางเทคโนโลยีปลูกถ่ายอวัยวะในปัจจุบัน น่าจะเป็นพวกอวัยวะในระบบประสาทส่วนกลาง ตั้งแต่สมองลงไปถึงกระดูกสันหลัง
อย่างไรก็ดี โดยพื้นฐานแล้ว ขีดจำกัดในทางปฏิบัติของการปลูกถ่ายอวัยะ ณ ปัจจุบัน อยู่ที่การ "บริจาคอวัยวะ" มากกว่าสิ่งอื่น ซึ่งถ้าใครพอมีประสบการณ์ใกล้ตัวหรือมีประสบการณ์ตรงในการ "รอคิวปลูกถ่ายอวัยวะ" ก็จะรู้ว่าคิวมันมักจะยาวมาก และโดยทั่วไปคิวที่ยาวที่สุด คือ คิวรอปลูกถ่ายไต (รองลงมา คือ ตับ) ซึ่งไตเป็นอวัยวะที่คนต้องการปลูกถ่ายเยอะระดับที่คนบริจาคอวัยวะบริจาคกันไม่พอ และเป็นแบบนี้ในแทบทุกประเทศ ดังนั้น จึงไม่แปลกเลยที่อวัยวะแรกที่เค้าพยายามตัดต่อพันธุกรรมสัตว์แล้วเอาอวัยวะมามาปลูกถ่ายในมนุษย์ก็คือ ไต โดยสัตว์ที่ถูกตัดต่อพันธุกรรมาเพื่อการนี้ก็คือ หมู ซึ่งการปลูกถ่ายนั้นก็เริ่มในปี 2024 และก็มีการพยายามพัฒนาต่อมาเรื่อยๆ
ถ้าเราลองไปดูมาตรวัดความขาดแคลน อย่างระยะเวลารอคอยการปลูกถ่ายอวัยวะ เราก็จะเห็นเลยว่า แต่ละอวัยวะ ระยะเวลาของการรอต่างกัน ประเทศที่เผยแพร่สถิติเหล่านี้ชัดเจนอย่างสิงคโปร์ การรอปลูกถ่ายม่านตาอาจไม่เกินครึ่งปี ปลูกถ่ายหัวใจไม่เกินปี ปลูกถ่ายตับไม่เกิน 2 ปี แต่สำหรับการปลูกถ่ายไต เวลารอปลูกถ่ายเฉลี่ยกว่าจะได้ปลูกถ่ายไต คือ 10 ปี
ทั้งหมดนี้ ทำให้เราเห็นปัญหาคาราคาซังของการขาดอวัยวะที่จะปลูกถ่ายโดยเฉพาะไต ซึ่งมันเป็นแบบนี้มายาวนาน หลายๆ ประเทศเค้าเลยใช้ระบบ "อนุมานว่า ทุกคนต้องการบริจาคอวัยวะ" (presumed consent) และให้ทุกคนในประเทศมีชื่อในลิสต์ผู้บริจาคอวัยวะหมด เว้นแต่จะยื่นเอกสารขอออกจากระบบ
ระบบแบบนี้บางทีเค้าก็เรียกว่า ระบบ "เลือกออกได้" (Opt-Out) ซึ่งต่างจากระบบ "ต้องเลือกเข้าเอง" (Opt-In) ที่ใช้ในหลายประเทศ รวมทั้งไทย ที่คนต้องไปลงทะเบียนเป็นผู้บริจาคอวัยวะก่อนถึงเป็นผู้บริจาคอวัยวะได้
คนไทยและคนเอเชียรวมๆ อาจไม่คุ้นกับระบบ "ทุกคนคือ ผู้บริจาคอวัยวะ" เพราะประเทศในเอเชียประเทศเดียวที่ใช้ระบบนี้คือ สิงคโปร์ ทวีปอเมริกาเหนือก็ไม่มีประเทศไหนใช้ระบบนี้ และจริงๆ โลกภาษาอังกฤษทั้งหมด (อเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์) ก็ไม่มีประเทศไหนใช้ระบบนี้ โดยระบบนี้ใช้กันจริงๆ คือฝั่งยุโรปทางใต้ทั้งหมด ถ้าขึ้นเหนือไปก็จะแล้วแต่ประเทศ (เช่น ฝรั่งเศสใช้ระบบถือว่าทุกคนบริจาคอวัยวะ แต่เยอรมนีใช้ระบบว่าต้องยื่นความสมัครใจก่อนถึงจะนับ เป็นต้น) และฝั่งอเมริกาใต้ก็เรียกได้ว่า แล้วแต่ประเทศ (เช่น ประเทศใหญ่สุดอย่างบราซิลใช้ระบบสมัครใจ ส่วนอาร์เจนตินาใช้ระบบถือว่าทุกคนเป็นผู้บริจาคอวัยวะ เว้นแต่จะขอออกจากระบบ เป็นต้น)
โดยประเทศที่ว่ากันว่าเริ่มระบบแบบนี้ คือ สเปนในปี 1979 โดยชาติเดียวในเอเชียที่ใช้ระบบนี้อย่างสิงคโปร์ก็ใช้มาตั้งแต่ปี 1987 แล้ว
แต่ทีนี้ ถ้าระบบที่อายุกว่า 40 ปีนี้มันเวิร์ค แล้วเราจะไปวุ่นวายตัดต่อพันธุกรรมหมู เพื่อเอาไตมาปลูกถ่ายในคนทำไม? เพราะมันแก้ไขทางนโยบายได้ง่ายๆ?
คำตอบคือ เพราะนโยบายนี้มันมีปัญหาในตัวเอง และจากมุมบุคลากรทางการแพทย์ มันอาจเป็นการแก้ปัญหาไม่ตรงจุดด้วยซ้ำ
ทำไมถึงเป็นแบบนั้น เราขอยกตัวอย่าง สิงคโปร์
สิงคโปร์ มีกฎหมายว่าทุกคนต้องเป็นผู้บริจาคอวัยวะ คนสัญชาติสิงคโปร์ทั้งหมดที่อายุเกิน 21 ปี และตายในโรงพยาบาลที่สิงคโปร์ถือว่าเป็นผู้บริจาคอวัยวะทั้งหมด เว้นแต่จะยื่นแสดงความจำนงค์ออกจากระบบ และเค้าก็มีการปรับแก้กฎหมายว่าถ้าใครขอออกจากระบบ ถ้าต้องปลูกถ่ายอวัยวะ ก็จะได้คิวที่หลังคนที่อยู่ในระบบ (วิธีแก้คือต้องขอกลับเข้าระบบ แล้วรอ 2 ปี จะได้สิทธิ์เหมือนเดิม)
แบบนี้เวลาทำมาเป็นคอนเทนต์หรือนโยบายทางการเมืองมันทรงพลัง แบบ เห็นมั้ยว่าสิงคโปร์ บังคับให้ทุกคนบริจาคอวัยวะ ไม่งั้นจะ “ไม่มีสิทธิ์ได้รับบริจาค" แต่ความเป็นจริงสิงคโปร์ก็ไม่ได้ต่างจากชาติอื่นๆ ที่ขาดแคลนอวัยวะบริจาคเป็นพิเศษ โดยเฉพาะไต
ทำไมถึงเป็นแบบนั้น? คำตอบก็คือ เพราะปัญหาการที่ระบบสาธารณสุขไม่สามารถจัดหาอวัยวะมาปลูกถ่ายได้เพียงพอ มันไม่สามารถแก้ได้ด้วยแค่การแก้กฎหมายให้ทุกคนเป็นผู้บริจาคอวัยวะ
มีงานวิจัยบอกว่า จริงๆ หลายประเทศที่เปลี่ยนกฎหมายจากระบบให้คนสมัครใจบริจาคอวัยวะ ไปเป็นระบบที่ถือว่าทุกคนเป็นผู้บริจาคอวัยวะ มันไม่ได้เพิ่มอัตราการปลูกถ่ายอวัยวะ อย่างน้อยสำหรับประเทศยุโรปเค้าเก็บสถิติเป็นสิบปีตั้งแต่ก่อนและหลังเปลี่ยนนโยบาย ตัวเลขออกมาเหมือนกันหมด ซึ่งเหตุผลอย่างหนึ่งก็คือ ปกติกฎหมายพวกนี้ยังไงเค้าให้สิทธิของญาติผู้เสียชีวิตในการปฏิเสธการบริจาคอวัยวะได้ และพวกญาติก็มักจะใช้สิทธิ์นั้น ทำให้จำนวนอวัยวะที่บริจาคจริงลดลงอยู่ดี
ลองคิดดูดีๆ ประเทศยุโรป คนอายุยืนกันจัดๆ ทั้งนั้น และคนที่แก่ขนาดนั้น หลายครั้งถึงในทางเทคนิคเป็นผู้บริจาคอวัยวะ แต่อวัยวะพวกเค้าแทบไม่เหลืออายุการใช้งานแล้ว ดังนั้น แพทย์ก็ไม่ได้เอาไปปลูกถ่าย ซึ่งกลับกัน อวัยวะของคนใช้ดีๆ คือ คนอายุน้อยซึ่งไม่ได้ตายเยอะ และถ้าตาย ก็เป็นไปได้ว่าพ่อแม่ไม่อยากให้บริจาคและปฏิเสธ ดังนั้น แม้แต่สิงคโปร์เอง เวลาพ่อแม่ "เสียสละ" ให้ลูกเล็กที่ด่วนจากไปทำการบริจาคอวัยวะให้ผู้อื่น มันก็เป็นข่าวใหญ่ เพราะมันไม่ค่อยเกิด (คนอายุต่ำกว่า 21 ในสิงคโปร์ จะเป็นผู้บริจาคอวัยวะได้ แต่เมื่อพ่อแม่หรือผู้อุปการะ แสดงเจตจำนงค์เท่านั้น)
แต่สิ่งที่ซับซ้อนกว่านั้นก็คือ อวัยวะมันไม่ได้ปลูกถ่ายกันง่ายๆ ต้องมีการตรวจเช็คก่อนว่าเข้ากันได้หรือไม่ ดังนั้นถ้าคนเสียชีวิตแบบไม่ได้เช็คก่อนว่าอวัยวะเข้ากับผู้อื่นได้หรือไม่ ถึงตายไป อวัยวะก็อาจสูญเสียไม่ได้รับการปลูกถ่าย เพราะอายุของอวัยวะนอกร่างกายคนมีจำกัด (เช่น ไต เค้าจะถือว่าต้องปลูกถ่ายภายใน 24-36 ชั่วโมง หลังผู้บริจาคเสียชีวิต)
ดังนั้น การทำฐานข้อมูลเตรียมปลูกถ่ายถึงสำคัญ และนี่เลยทำให้ประเทศที่ให้คนแสดงเจตจำนงค์ในการปลูกถ่ายมักจะมีฐานข้อมูลดีกว่า เพราะคนที่ต้องการบริจาคมักให้ความร่วมมือให้การให้ข้อมูลพื้นฐานเผื่อสักวันจะมีคนต้องการอวัยวะของตน ซึ่งนี่ต่างจากประเทศที่ถือว่าทุกคนเป็นผู้ปลูกถ่าย ที่ในทางปฏิบัติคือไม่ได้ทำฐานข้อมูลอวัยวะเอาไว้ และเรื่องพวกนี้สำคัญแน่ๆ เพราะการปลูกถ่ายอวัยวะมีความเสี่ยง ปกติแพทย์จะไม่ทำถ้าไม่มั่นใจว่าอวัยวะจะเข้ากับผู้รับได้ เนื่องจากการปฏิเสธอวัยวะ มันอาจหมายถึงการเสียชีวิต (ยังไม่นับว่าการ "ผ่าตัดใหญ่" มันมีอันตรายโดยตัวมันเองอยู่แล้ว)
ทั้งหมดนี้ ประเด็นก็คือ จริงๆ ปัญหาของการขาดแคลนอวัยวะเพื่อปลูกถ่าย ไม่ได้แก้กันง่ายๆ แค่เปลี่ยนกฎหมายให้ทุกคนเป็นผู้บริจาคให้หมดแล้วจบ ความเป็นจริงมันซับซ้อนกว่านั้นมาก นี่เรายังไม่ต้องพูดถึง "ต้นทุน" และการเข้าถึงการรับบริการปลูกถ่ายภายใต้ระบบประกันสุขภาพที่ถูกมากด้วยซ้ำ โดยจริงๆ แล้ว ถ้าสักวันมนุษย์สามารถ "สร้างอวัยวะเทียม" แบบเพาะมาในห้องเล็บและมีราคาถูกแบบปลูกถ่ายได้ชิลๆ เราก็อาจจะเห็นชัดๆ ว่า ปัญหาทั้งหมดมันไม่ได้เกิดจากการขาดอวัยวะที่จะปลูกถ่ายเท่านั้น แต่ปัญหาเรื่องการขาดบุคคลากรทางการแพทย์ ไปจนถึงสถานบริการที่เหมาะสมและปลอดภัยก็เป็นประเด็นด้วยเช่นกัน
เพราะสุดท้าย เราต้องไม่ลืมว่า ขนาดทุกวันนี้อวัยวะที่รอคิวปลูกถ่ายมีไม่พอ บริการด้านสาธารณสุขของรัฐในหลายประเทศยังจะล่มแหล่มิล่มแหล่เลย เพราะสังคมผู้สูงอายุทำให้บริการด้านนี้ขยายตัวไม่พอกับความต้องการรับบริการ คำถามคือ ระบบแบบนี้จะเพิ่มโหลดงานในการปลูกถ่ายอวัยวะได้อย่างไร?
ต่อให้มีอวัยวะราคาถูกมาล้นๆ แต่ไม่คนปลูกถ่าย รัฐไม่มีงบจะจ่ายค่าผ่าตัดและพักฟื้นให้ จะมีอวัยวะพร้อมปลูกถ่ายเท่าไรก็คงไม่มีความหมายอยู่ดี
อ้างอิง
Organ Donation Statistics
Table 1 Countries included into the analyses
FACTBOX-Organ donation regulations in some major countries
Human Organ Transplant Act (HOTA)
Shortage of organ donors in S’pore; potential pool could be those who died of cardiac arrest
Organ donation: Opt-out defaults do not increase donation rates
Opt-out organ donation: on evidence and public policy
World's first penis transplant patient to father a child
World’s First Genetically-Edited Pig Kidney Transplant into Living Recipient Performed at Massachusetts General Hospital