Skip to main content

 

Libertus Machinus
 

ทุกวันนี้ในยุคแห่งสังคมผู้สูงอายุและการลดลงของประชากรส่งผลหนักมากในหลายประเทศ ซึ่งในโลกตะวันออกที่เป็นตัวอย่างว่า หากประชากรในประเทศลดลงจะเป็นอย่างไร คือญี่ปุ่นที่ประชากรลดมาตั้งแต่ปี 2010 ส่วนในยุโรปชาติที่เป็นผู้นำด้านประชากรลด คือ อิตาลีที่ประชากรลดมาตั้งแต่ปี 2014

สิ่งที่เกิดขึ้นกับสองชาตินี้มี "ความคล้ายกัน" คือ พวกเมืองบ้านนอกประชากรลดลงจนสังคมดำเนินการแบบเดิมไม่ได้ แม้พยายามให้คนในประเทศมาอยู่ก็ไม่สำเร็จ สุดท้ายจึงต้องเริ่มมีโครงการขายบ้านราคาถูก ระดับที่ถูกเหมือนแจกฟรี (ยัน "แจกฟรี" จริงๆ) ให้กับชาวต่างชาติ

ก็แน่นอน ทุกคนรู้ว่าบ้านพวกนี้ไม่ "ฟรี" จริงๆ มันตามมาด้วยเงื่อนไขสารพัด เช่น การบังคับว่าต้องทำการรีโนเวตใหม่ ต้องอยู่อาศัยอย่างต่ำเป็นเวลากี่ปีๆ และแน่นอนกว่านั้นคือ ต้องเสียภาษีบ้านและที่ดินเข้าท้องที่นั้นๆ ด้วยตามวิถีของผู้ถือครองที่ดินในโลกตะวันตกที่ต้องเสีย "ภาษีทรัพย์สิน" ฐานมีที่ดินครอบครองทุกปี

ดังนั้น การถือครองบ้านเหล่านี้มีต้นทุนแอบแฝงหมด และที่ดินพวกนี้นักลงทุนอสังหาแทบจะส่ายหน้า เพราะซื้อไปมันสร้างผลตอบแทนได้น้อย ปล่อยเช่าก็ยาก เก็งกำไรแทบจะเป็นไปไม่ได้ (จะเก็งกำไรยังไง ถ้าบ้านในหมู่บ้านเดียวกันยังมีแจกฟรี?)

แต่กลับกัน การที่ราคาบ้านลดลงระดับแจกฟรีกลับเป็นเหมือนสวรรค์ของพวกชนชั้นกลางระดับสูงที่ต้องการมี "บ้านหลังที่ 2 ในต่างประเทศ" ซึ่งพวกนี้อาจไม่ถึงกับไปต่อแถวรับบ้านแจกฟรี แต่จะเลือกซื้อบ้านทำเลดีที่ใกล้ๆ โซนที่แจกฟรี ด้วยราคาที่ต่ำมาก เพราะตามธรรมชาติแล้วถ้าต้องการบ้านทำเลดีราคาถูก เราสังเกตได้ว่าจะอยู่ใกล้ๆ พวกโซนบ้านแจกฟรีหมด และพวกบ้านแจกฟรีทำเลก็จะแย่ด้วย ถ้าอยากอยู่จริงๆ ควรเลือกที่ห่างออกมาหน่อยและทำเลดีกว่า ซึ่งก็ต้องเล็งโซนและจับจอง เพราะปกติถ้าราคาดีทำเลดีจริง ไม่ใช่ไม่มีขาย แต่อาจไม่หลุดมาให้ “ต่างชาติ” อย่างเราเห็น ถ้าไม่เสร็จคนท้องถิ่น ก็เสร็จพวกนักลงทุนที่เล็งโซนนั้นๆ เอาไว้ แต่ก็แน่นอนอีกถ้าไม่ใช่โซนท่องเที่ยว ถึงทำเลเดินทางสะดวก นักลงทุนก็ไม่ชอบ และนั่นคือเหมาะสำหรับการอยู่อาศัย ถ้าเราอยากอยู่เงียบๆ

ในญี่ปุ่น เราจะเห็นเลยว่า ณ ตอนนี้ คนจีนมีเงินต้องมีบ้านญี่ปุ่นกันสักหลังตามบ้านนอกที่เจริญหน่อย โดยฟีลมันจะต้องเป็นเมืองรองที่ใหญ่หน่อยอะไรงี้ ไม่ใช่ระดับพวกหมู่บ้านกลางหุบเขาที่ไปอยู่ลำบาก แต่ก็ไม่ใช่พวกเมืองท่องเที่ยว ที่พวกนักลงทุนอสังหานานาชาติไปปั่นที่ดินจนแพง (พูดง่ายๆ คือไม่ใช่ โตเกียว โอซากา หรือกระทั่งฟูกูโอกะ แต่อาจเป็นฮอกไกโดอะไรแบบนั้น)

แต่เรื่องนี้เราอาจได้ยินมาเยอะแล้ว สิ่งที่เราอยากจะเล่าเลยเป็นเรื่องคล้ายกันที่เกิดในอิตาลี โดยฝีมือคนอเมริกัน

จริงๆ แล้วอิตาลีเป็นประเทศที่ประชากรลดมาเป็น 10 ปีแล้ว ซึ่งผลรวมๆ ก็คือ ตามชนบทประชากรลดลงเรื่อยๆ ทำให้หลายพื้นที่บริการชุมชนพื้นฐานต่างๆ เริ่มทำงานไม่ได้ เช่น พวกเมืองเล็กๆ พวกเดย์แคร์ต้องปิด รถโรงเรียนหยุดบริการ หรือกระทั่งโรงเรียมเริ่มปิดตัว เพราะไม่มีเด็กเพียงพอ และพวกร้านค้าต่างๆ ก็เริ่มให้บริการอย่างไม่ทั่วถึง สังคมมีเหลือแต่คนแก่ๆ

อาการพวกนี้หนักมากในพวกอิตาลีทางตอนใต้ซึ่งเป็นโซนยากจนอยู่แล้ว เรียกได้ว่าเกาะอย่างซาร์ดีเนีย และซิซีลีเต็มไปด้วยหมู่บ้านรกร้าง และจริงๆ ถ้าไปเช็คช่าว พวกโซนที่มีโครงการแจกบ้าน 1 ยูโร คือโซนทางนี้หมด พวกอิตาลีตอนเหนือๆ ที่ "รวย" กว่าไม่ได้มีปัญหาแบบนี้

สิ่งที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน คือ พวกคนอเมริกันที่พอมีฐานะ แบบเป็นผู้บริหารอะไรแบบนี้ ไม่กี่ปีที่ผ่านมา เริ่มมองอิตาลีเป็นบ้านหลังที่ 2 เรียกได้ว่าความเป็นชนชั้นกลางอเมริกันปัจจุบัน ถ้าคุณประสบความสำเร็จในชีวิต คุณต้องมีบ้านพักตากอากาศในอิตาลี ซึ่งก็แน่นอน แพลตฟอร์มอย่าง Airbnb ก็เอื้อให้คุณแปลงบ้านพักตากอากาศเป็นบ้านเช่าได้ ดังนั้น การซื้อบ้านราคาถูกในอิตาลี มันเลยมีสถานะผสมกัน หนึ่ง คือ เป็นเครื่องแสดงสถานะทางสังคมแบบมีบ้านพักตากอากาศในต่างแดน สอง คือ เป็นการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ โดยเน้นค่าเช่าระยะสั้น

คำถามที่สำคัญ คือ แล้วทำไมต้องอิตาลี? ทำไมไม่เป็นสเปนแบบที่พวกคนอังกฤษชอบทำแบบเดียวกันเป๊ะๆ? หรือทำไมไม่ใช่ญี่ปุ่นแบบที่คนจีนชอบทำที่เล่ามาข้างต้น?  

คำตอบอาจย้อนมาที่พื้นเพของคนอเมริกา และโครงสร้างราคาอสังหาริมทรัพย์

คนอเมริกันที่เป็นคนขาวไม่มีใครมีบรรพบุรุษเกิดที่ทวีปนี้ ทุกคนอพยพมาจากยุโรปเมื่อไม่กี่ร้อยปีก่อน โดยถ้าไปถามคนอเมริกันว่า ครอบครัวมาจากชาติไหน มีเพียง 4 ชาติยุโรปที่คนอเมริกันเกิน 10 ล้านคนนับเป็นบรรพบุรุษ โดยไล่ปริมาณจากมากไปน้อยคือ อังกฤษ เยอรมนี ไอร์แลนด์ และอิตาลี

กล่าวคือ คนอเมริกันเชื้อสายอิตาเลียนมีเยอะมาก ส่วนใหญ่อยู่ในโนโซนนิวอิงแลนด์ถึงนิวยอร์คในทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ โดยคนแถบนี้มีเชื้อสายอิตาเลียนกันเกิน 10% ของประชากรทั้งสิ้น

ประเด็นคือ สำหรับคนอเมริกัน อิตาลีไม่ใช่ชาติอื่นไกล ถ้าบ้านของพวกเขาไม่มีคนเชื้อสายอิตาลี ก็น่าจะต้องมีเพื่อนที่มีเชื้อสายอิตาลีสักคน หรือคุณตาของภรรยาอาจอพยพมาจากอิตาลีอะไรแบบนี้ก็ได้ คือมันใกล้ชิดกันมากจนคนอเมริกันไม่รู้สึกว่านี่คือชาติที่ห่างไกลในทางวัฒนธรรม (ยังไม่นับว่า “อาหารใต้” ของอิตาลีอย่างพิซซ่าคือสิ่งที่คนอเมริกันกินกันจนรู้สึกว่าเป็นอาหารชาติตัวเอง) และนี่เลยทำให้การไปอิตาลีสำหรับคนอเมริกันเหมือนการกลับบ้านเกิดบรรพบุรุษ อะไรแบบนั้น

เหตุผลอีกประการคือ เรื่องราคา และโครงสร้างของความเจริญ

แน่นอน ในบรรดาชาติยุโรปใต้ที่ประชากรลด ราคาบ้านและที่ดินลดหมด ดังนั้น ถ้าจะพูดถึงราคาบ้านและที่ดินที่ถูก ไม่ใช่แค่อิตาลีถูก แต่โปรตุเกสก็ถูก สเปนก็ถูก และก็แน่นอนในบรรดาประเทศเหล่านี้ไม่มีชาติใดห้ามต่างชาติถือครองที่ดิน

แต่สำหรับชาติเหล่านี้ โซนที่เจริญจริงๆ มักจะเป็นโซนชายทะเลแบบเป็นโซนท่องเที่ยว ซึ่งราคาจะโหดมาก เพราะ "นักลงทุน" เข้าไปปั่นราคา และซื้อเอาไว้ปล่อยเช่ามานานแล้ว หรือพูดอีกแบบคือ ถ้าไปดูแถบชายทะเลโปรตุเกสและสเปน ที่ดินไม่ใช่ของคนท้องถิ่นแล้ว แต่เป็นของต่างชาติหมด

แต่สำหรับอิตาลี สิ่งเหล่านี้กลับไม่เกิดกับพวกเมืองชายทะเลทางใต้โดยเฉพาะพวกเกาะ

ย้อนไป ถ้าเราไปดูพวกโครงการ "บ้าน 1 ยูโร" เราก็จะพบว่า มันอยู่ในเมืองบนเกาะซาร์ดิเนีย และซิซิลีซะเยอะ ซึ่งความเข้าใจพื้นที่ก็จะยิ่งทำให้เราเข้าใจมากขึ้น

ในอิตาลีแผ่นดินใหญ่ แน่นอนว่าบ้านทางใต้ถูกกว่าทางเหนือ และคนต่างชาติไม่รวยจริงระดับมหาเศรษฐีจะไม่มีปัญญาซื้อ "บ้าน" ในเมืองท่องเที่ยวดังๆ แบบโรม มิลาน เวนิส อะไรพวกนี้แน่นอน

แต่ลงมาทางใต้ ราคาบ้านจะถูกลงๆ ค่าครองชีพจะยิ่งลดลงๆ และที่ถูกสุดอธิบายง่ายๆ ก็คือ บ้านที่อยู่ใน 2 เกาะใหญ่ของอิตาลี ซึ่งคือ ซิซิลีและซาร์ดิเนีย

ย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ ประชากรบนเกาะทั้งสองมีจำนวนน้อยมาแต่ไหนแต่ไร เศรษฐกิจก็ไม่ดี และทำให้คนพวกนี้อพยพไปอเมริกาแสวงหางานกับรายได้ คือมัน "จน" มาเป็นร้อยปีแล้ว และพอเศรษฐกิจชะงักงัน ประชากรลด ก็ยิ่งจน และเทศบาลเลยเอาบ้านมาแจกต่างชาติ หวังให้คนเข้ามาอยู่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

ประเด็นคือ ทั้งสองเกาะมีโซนที่มีความเจริญมากเจริญน้อย และด้วยขนาดที่ใหญ่โตของมัน เลยทำให้คนที่อยากอยู่อาศัยเลือกได้เลยว่า อยากอยู่ตรงไหน เรียกได้ว่าอยู่ในโซนเจริญก็ยัง "ถูก" ในมาตรฐานอเมริกัน

อยากให้นึกภาพตามว่า เกาะซาร์ดิเนียมีพื้นที่ 24,000 ตร.กม. ส่วนซิซิลีมีพื้นที่เกือบ 26,000 ตร.กม. ส่วน "จังหวัดที่ใหญ่ที่สุด" ในประเทศไทย อย่างโคราชและเชียงใหม่ มีพื้นที่ 20,000 ตร.กม.เท่านั้น

ประเด็นคือ เกาะทั้งสองนี้มันใหญ่มาก ที่เราเห็นภาพถ่ายสวยๆ มันคือมุมเล็กๆ และยังมีอีกหลายมุมที่สวย และยิ่งห่างจากทะเลไปราคายิ่งถูก คือแทบจะเลือกราคาได้เลย มีบ้านสำหรับทุกงบประมาณ พวกหมู่บ้านที่ีขายในราคา 1 ยูโร ถ้าเอาทำเลดีหน่อยในหมู่บ้านเดียวกัน เราอาจจ่ายแค่หลักหมื่นบาท แต่ถ้าเอากันดารน้อยหน่อย ก็เอาหมู่บ้านถัดมา ที่เริ่มใกล้ทะเล เราก็อาจเจอพวกบ้านราคาหลักแสนบาท แต่ถ้าเอาแบบเห็นทะเลเลย ราคาไม่กี่ล้านบาทก็มีให้เห็น

พวกอเมริกันที่มีเงิน ปกติจะเลือกแบบหลัง เค้าจะบอกเลยว่า เงินในจำนวนที่ซื้ออพาร์ตเมนต์สุดหรูแบบที่แทบจะเป็นเพนท์เฮ้าส์ได้เลยตามเกาะพวกนี้ ราคามันเท่าๆ กับแค่ "ค่าดาวน์" อพาร์ตเมนต์ในเมืองใหญ่ๆ ในอเมริกาที่ราคาประมาณ 10 ล้านบาท

ถ้าจะตีเป็นตัวเลขให้เห็นคือ พวกอพาร์ตเมนต์ในอเมริกา ห้องใหญ่ๆ แบบอยู่เป็นครอบครัวได้ อาจมีราคาสัก 15 ล้านบาทอะไรแบบนี้ ซึ่งมาตรฐานเงินดาวน์การกู้เงินมาซื้ออสังหาในอเมริกามันจะอยู่ที่ 20% หรือจะซื้อ 15 ล้าน ก็ต้องมีเงินดาวน์สัก 3 ล้าน ก่อนจะผ่อนต่อ แต่ถ้าไปพวกเกาะในอิตาลี ถ้ามีเงินสด 3 ล้านบาท คือแทบจะซื้ออพาร์ตเมนต์หรูที่เข้าอยู่ได้เลย

ดังนั้น สำหรับคนอเมริกัน ความเป็นบ้านริมทะเลในราคาสบายกระเป๋ามันเลยดึงดูดสุดๆ และคือพอมีแพลตฟอร์มแบบ Airbnb การบริหารจัดการทรัพย์สินระยะไกลให้เกิดมูลค่าก็ยิ่งง่าย คนอเมริกันไม่จำเป็นต้องอยู่ในพื้นที่เพื่อปล่อยเช่า คือจะปล่อยเช่าช่วงไฮซีซั่นเอาเงินรายได้ แล้วไปพักร้อนเองช่วงโลว์ซีซั่นก็ได้ ทั้งหมดนี้คืออุดมคติ เพราะไม่ต้องซื้อทิ้งไว้เฉยๆ แบบไม่เกิดมูลค่า ในพื้นที่ที่ไม่สามารถจะ "เก็งกำไร" ได้ง่ายๆ เพราะราคาที่ดินในระยะยาวลดลง

ด้วยขนาดของพื้นที่และลักษณะของการท่องเที่ยว พวกเกาะยักษ์ๆ เหล่านี้ของอิตาลี ไม่ได้มีปัญหาแบบพวกเกาะในโปรตุเกสและสเปนที่ทุกวันนี้คนในท้องที่โวยกันว่าราคาที่ดินแพง ค่าครองชีพทุกอย่างเป็นแบบ "นักท่องเที่ยว" จนตัวเองเข้าอยู่ไม่ได้

ทั้งหมดเลยทำให้แม้ว่าจะเป็นยุโรปใต้เหมือนกัน แต่ชีวิตทางใต้และตามเกาะของอิตาลีเป็นคนละโลกกับพวกโปรตุเกสและสเปนเลย มันเหมาะสำหรับคนอยากได้สโลว์ไลฟ์ ซึ่งคนอเมริกันจำนวนมากมาอยู่ก็ติดใจระดับที่ว่าไม่อยากกลับไปอยู่อเมริกาด้วยซ้ำ

ใดๆ ก็ตาม เราก็ต้องไม่ลืมว่าที่คนอเมริกันมีบ้านในต่างแดนได้ชิลล์ระดับนี้ เพราะพาสปอร์ตอเมริกันทรงพลังมาก แบบในยุโรปโซนเชงเก้น (ซึ่งมีอิตาลีด้วย) คนถือพาสปอร์ตอเมริกันเข้าได้โดยไม่ต้องมีวีซ่าถึง 90 วัน ในทุกๆ ครึ่งปี ดังนั้น ไอเดียเรื่องบ้านพักตากอากาศในต่างแดนของคนอเมริกันมันเลยแยกออกได้ยากจากความสามารถในการซื้อตั๋วเครื่องบินแล้วไปอยู่บ้านพักตัวเองในต่างแดนได้เป็นเดือนๆ แบบไม่ต้องทำวีซ่าที่เป็นอภิสิทธิ์ของคนถือพาสฟปอร์ตอเมริกัน

 

อ้างอิง
The new American dream? Buying and renting out vacation homes in Italy.
Case 1 euro
'The village will die' - Italy looks for answers to decline in number of babies  
A tiny Italian village wants to fast-track Americans unhappy with the election into buying an entire home for 1 euro
How much is a down payment on a house?
Italian Population by State 2025 
Italian Americans
European Americans
 

อ่านบทความอื่นๆ ของผู้เขียน